“รมว.ต่างประเทศ” ปัดชักศึกเข้าบ้าน! ย้ำไทยเป็นกลาง แจงปล่อยเครื่องบินพม่าลงจอดแม่สอด ขนแค่เอกสารราชการ ไร้ “เงิน-อาวุธ-ทหาร” เผยไทยรองรับผู้อพยพได้ 1 แสนคน
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีถึงสถานการณ์ในประเทศเมียนมา และกรณีเครื่องบินเมียนมาขอลงจอดที่สนามบินแม่สอด จ.ตาก ว่า วันนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าสถานการณ์ในเมียนมามีการสู้รบกันหนัก ประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบซึ่งมาจากการสู้รบบริเวณชายแดน โดยเฉพาะในเมืองเมียวดี ขณะนี้ยังได้รับรายงานว่ามีคนหนีภัยสงครามเข้ามา อาจจะมีเดินทางเข้ามาบ้างประปราย
เมื่อถามว่า เครื่องบิน ‘เมียนมา’ ได้ขออนุญาตทางรัฐบาลใช่หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ปกติก็จะมีการขอมาเป็นประจำ โดยเฉพาะเครื่องบินพาณิชย์ ครั้งนี้ก็ไม่ใช่เครื่องบินทหาร มีการขออนุญาตมาอย่างถูกต้อง กระทรวงต่างประเทศก็จะมีการอนุญาตให้บินเข้ามาในประเทศไทยได้ และทางนี้ก็เป็นการขอมาจากทูตเมียนมาประจำประเทศไทย โดยแจ้งว่ามีสถานการณ์เมียนมา อาจจะมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จึงมีความจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากประเทศไทยในเรื่องของมนุษยธรรม เราก็ตอบรับ ซึ่งครั้งแรกมีการขอมา 3 ครั้ง เพราะทราบว่าจะมีชาวเมียนมาข้ามชายแดนมาจำนวนมาก แต่สุดท้ายปรากฏว่าไม่มี เพราะเข้าใจเองว่ามีการเจรจา ระหว่างกลุ่มที่ต่อสู้กันในพื้นที่ อาจจะมีการตกลงกันได้ ก็เลยทำให้ข้าราชการที่ควรจะต้องข้ามมา ก็ไม่ได้เข้ามา
นายปานปรีย์ กล่าวว่า เป็นการขอความร่วมมือ ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอน หลังจากมีการขอมา ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็มีการประชุมกันเพื่อหารือว่าเกิดอะไรขึ้น และดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งนายกฯ ก็รับทราบมาโดยตลอด ฉะนั้นการตัดสินใจที่จะให้เครื่องบินเข้ามาหรือไม่ รัฐบาลนี้รับทราบมาโดยตลอด และได้ตัดสินใจสอดคล้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเราได้ประสานกองทัพผ่าน สมช.
ต่อข้อถามว่า เครื่องบินที่ลงจอดมีการขนอะไรกันแน่ เนื่องจากข้อมูลของกระทรวงต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมไม่ตรงกัน นายปานปรีย์ ชี้แจงว่า เป็นการขนเอกสารทางราชการ ซึ่งปกติทางการทูต ไม่ว่าประเทศใดก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปตรวจสอบว่าเป็นเอกสารประเภทใด เนื่องจากเป็นเอกสารลับทางราชการของเมียนมา
เมื่อถามย้ำว่า มีแค่เอกสารลับทางราชการ ไม่มีกำลังพล หรืออาวุธใช่หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ไม่มีอาวุธ ไม่มีกำลังพล ไม่มีทหาร และชาวเมียนมาซึ่งเดิมจะเดินทางเข้ามา ก็ขอยกเลิกไป เลยเหลือแต่เพียงเอกสารทางราชการ พร้อมปฏิเสธด้วยว่า ‘ไม่มีการขนเงินเข้ามายังประเทศไทย’
ส่วนที่มีข้อกังวลจากหลายฝ่าย กรณีเครื่องบินเมียนมาลงจอดเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ ‘รมว.ต่างประเทศ’ กล่าวว่า ไม่มีนะ มันไม่ใช่เป็นเครื่องบินทางทหาร เป็นเครื่องบินพลเรือน ซึ่งปกติเขาก็บินเข้าบินออกประเทศไทยอยู่แล้ว
ตนว่าเรื่องนี้ไม่เป็นประเด็นเลย ในเรื่องชักศึกเข้าบ้าน ทั้งนี้กองทัพมีความพร้อมหากมีกรณีรุกล้ำน่านฟ้าไทยเรา เรื่องนี้ต้องไม่ให้เกิดเด็ดขาด
ทั้งนี้ หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น ประเทศไทยได้เตรียมการรองรับไว้นานแล้ว สามารถรองรับผู้อพยพได้ประมาณ 1 แสนคน อยู่ในที่ปลอดภัยชั่วคราว หรือหากมีการอพยพเข้ามามากกว่า 1 แสนคน ประเทศไทยก็อาจจะไม่ได้อยู่ในวิสัยที่ดำเนินการได้โดยลำพัง ก็ต้องหารือกับต่างประเทศให้เข้ามาให้ความช่วยเหลือด้วย
เมื่อถามว่า ทางการไทยจะมีออกแถลงการณ์ประกาศจุดยืนในสถานการณ์นี้หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นกลางแน่นอน และเรามีความประสงค์ที่จะให้เกิดสันติสุขในประเทศเมียนมา ฉะนั้นเราจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในเมียนมา เพราะประเทศไทยได้รับผลกระทบมาก ซึ่งเราได้เริ่มทำในบ้างส่วนแล้ว แต่วันนี้เมื่อมีการสู้รบกันเกิดขึ้นก็ต้องหาทางให้เกิดการเจรจา เพื่อให้การสู้รบยุติลงและหันมาพูดคุยกันมากขึ้น
ท้ายที่สุดแล้วไทยจะปรับบทบาท จากผู้เล่นที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เปลี่ยนไปเป็นคนที่สามารถควบคุมจัดการตรงนี้เหมือนสาธารณรัฐประชาชนจีนได้หรือไม่ นายปานปรีย์ ชี้ว่า คงไม่ได้เข้าไปควบคุมใคร เราไม่สามารถที่จะไปควบคุมรัฐบาลอื่นได้ แต่เราจะทำหน้าที่ประสานเพื่อให้เกิดความสันติสุขในเมียนมา นอกจากนี้ยังมีแผนให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อไปด้วย
ถามต่อว่า การสู้รบจำเป็นต้องให้จีนมีส่วนเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ตรงนี้หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า อันนั้นเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง แต่ตอนนี้เป็นเรื่องของประเทศที่อยู่ติดชายแดน ทั้งอินเดีย จีน ลาว และบังกลาเทศ ซึ่งประเทศเหล่านี้จะต้องมาช่วยกัน เพราะเขาได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับประเทศไทย