“ทักษิณ” ยันสู้คดี “ม.112” อัยการเตรียมสืบพยาน 10 ปากมัดอดีตนายกฯ ด้านทนายชงพยาน 14 ปากแก้ต่าง เตรียมงัดปมตัดต่อคลิปเข้าสู้ ยันจงรักภักดีสถาบันฯ พร้อมมาศาลทุกนัด ไม่หวั่น ป.ป.ป.เรียกสอบ “แพทย์-ราชทัณฑ์” ปมป่วยทิพย์ชั้น 14 ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก 1 ก.ค.ปีหน้า
วันนี้ (19 ส.ค.) ความคืบหน้าภายหลังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาตามที่ศาลอาญานัดตรวจพยานหลักฐาน ในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอนมีเดีย (The ChosunMedia) ของเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน
ทั้งนี้ ภายหลังการตรวจพยานหลักฐานแล้วเสร็จ นายทักษิณเดินออกจากอาคารศาลอาญา โดยถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้านหน้า
จากนั้นผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามบรรยากาศในการนัดตรวจพยานหลักฐานว่าเป็นอย่างไร นายทักษิณได้กล่าวเพียงสั้นๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ก็ไม่มีอะไร” พร้อมโบกมือ ก่อนขึ้นรถกลับทันที
ต่อมานายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ กล่าวว่า ในการตรวจพยานหลักฐานวันนี้ ศาลได้สอบคำให้การของนายทักษิณจำเลยอีกครั้ง โดยนายทักษิณให้การปฏิเสธ พร้อมกับนำพยานฝ่ายจำเลยจำนวน 14 ปาก และพยานเอกสารอื่นๆ ซึ่งจะแสดงต่อศาลในชั้นพิจารณาคดีต่อไป โดยใช้เวลาสืบพยาน 4 นัด
ส่วนฝ่ายอัยการโจทก์มีพยานทั้งสิ้น 10 ปาก ใช้เวลาสืบ 3 นัด เชื่อว่ามีการสอบสวนไปแล้ว และฝ่ายโจทก์ไม่ได้อ้างพยานเพิ่มเติม เนื่องจากอาจจะเห็นว่าเป็นพยานที่ไม่มีประโยชน์หรืออาจเป็นพยานที่ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดของฝั่งจำเลยได้
นอกจากนี้ ยังมีพยานผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามคลิปที่ปรากฏในระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้คลิปที่มีการส่งตรวจตั้งแต่แรก เป็นการรวบรวมจากระบบอินเทอร์เน็ตลงในแผ่นซีดี ไม่ใช่หลักฐานจากสถานที่จริง เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบคลิปที่เป็นประเด็น ยืนยันว่าคลิปดังกล่าวไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ถึงความเป็นต้นฉบับ การตัดต่อและการแปลความเป็นภาษาไทยก็ไม่สมบูรณ์ ในเรื่องนี้มีภาษาอังกฤษเพียงคำเดียวที่เป็นปัญหาและนำไปสู่การกล่าวหานายทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับที่ตนได้เคยแถลงก่อนหน้านี้ว่าหลักฐานของฝ่ายโจทก์เป็นเพียงการรวบรวมคลิปเท่านั้น
สำหรับเรื่องคลิปภาพการให้สัมภาษณ์ที่ไม่ได้มาจากต้นฉบับจะนำมาเป็นข้อต่อสู้ของจำเลยได้อย่างไรนั้น ยังไม่สามารถลงรายละเอียดในเวลานี้ได้ หลังจากนี้จะเป็นการพิสูจน์ความจริงต่อศาล ขึ้นอยู่กับศาลจะรับฟังพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยและมีคำวินิจฉัยอย่างไร มองว่าเรื่องนี้นายทักษิณถูกกระทำจากระบบการกล่าวหา ซึ่งตนเองมองว่าระบบการกล่าวหาของประเทศไทยยังมีปัญหา หากมีโอกาสก็ควรมีการแก้ไข
ส่วนการสืบพยาน โดยฝ่ายโจทก์มีพยาน 10 ปาก ศาลนัดสืบวันที่ 1, 2,และ 3 กรกฎาคม 2568 นัดสืบพยานฝ่ายจำเลย 14 วันที่ 15, 16, 22 และ 23 กรกฎาคม 2568 หลังจากนั้นศาลจะจัดทำคำพิพากษาของศาลต่อไป
ในส่วนที่มีการนัดสืบพยานในปีหน้านั้นเนื่องจากศาลอาญาเป็นศาลใหญ่ มีคดีจำนวนมาก ต้องนัดสืบพยานไปตามลำดับของคดี ส่วนจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่นั้น ตนเองไม่มีความเห็น
เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายจำเลยจะขอยื่นสืบพยานลับหลังจำเลยหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ได้รับการยืนยันจากนายทักษิณว่าพร้อมที่จะมาสืบพยานทุกนัด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง และพิสูจน์ว่าที่ผ่านมาไม่มีเจตนาที่จะก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และพร้อมที่จะได้แสดงความจงรักภักดีเพื่อให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งประชาชนคนไทยก็เห็นได้อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้หากศาลอนุญาตให้สืบพยานลับหลังได้ นายทักษิณอาจจะไม่ต้องเดินทางมาด้วยตนเอง
ส่วนนายทักษิณจะมีกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศอีกหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา และในการต่อสู้คดีนี้ นายทักษิณมีความมั่นใจ ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ
สำหรับกรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่ที่เอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจนั้น นายวิญญัติ กล่าวว่า นายทักษิณไม่ได้กังวล ซึ่งตนเองขอยืนยันว่า นายทักษิณป่วยจริง และตนก็เป็นทนายเพียงคนเดียวที่ไปเยี่ยมนายทักษิณ
ผู้สื่อข่าวถามว่าหาก ป.ป.ช.เรียกนายทักษิณไปให้ปากคำ จะพร้อมเข้าให้ข้อมูลหรือไม่ นายวิญญัติ ระบุว่า อยู่ที่ว่านายทักษิณเกี่ยวข้องอะไร เพราะไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่ก็ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช.จะพิจารณาว่าคดีมีมูลหรือไม่มีมูล และจะไต่สวนนายทักษิณหรือไม่ แต่หากมีการไต่สวนนายทักษิณก็ยินดี เพราะนายทักษิณกลับเข้ามาในประเทศ ก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามกติกาของสังคม โดยเฉพาะกฎหมาย ไม่เช่นนั้นนายทักษิณคงไม่เข้าสู่กระบวนการ