Home Feature ‘สมีแย้ม’โอดหมดตัวแล้ว ‘สีกาเก็น’ ไถไม่หยุด อึ้ง! เส้นเงิน2พันล. ซื้อที่ปากช่อง-รีสอร์ท 12 ไร่

‘สมีแย้ม’โอดหมดตัวแล้ว ‘สีกาเก็น’ ไถไม่หยุด อึ้ง! เส้นเงิน2พันล. ซื้อที่ปากช่อง-รีสอร์ท 12 ไร่

by admin

เปิดคลิปเสียง “สีกาเก็น” ไถเงิน! “สมีแย้ม” โอดหมดตัวแล้ว เผยรู้อยู่แก่ใจ “สีกาขอเงินเล่นพนัน” หลักฐานชัดมัดตัวดิ้นไม่หลุด เส้นเงินหมุนเวียนกว่า 2 พันล้าน เปิดรายได้วัดไร่ขิงปีละ 176 ล้าน แจงพบ 51 บัญชีวัด-มูลนิธิ “โบรกฯ สาว” 12 บัญชี “แย้ม” คนเดียวมี 21 บัญชี แถมมีชื่อครอบครองรีสอร์ท 12 ไร่ข้างวัดไร่ขิง “บิ๊กเต่า” รับ “บอสเตย-ผัว” เผ่นหนีแล้ว ฉาวอีก! เงินกฐินเข้าบัญชีเจ้าอาวาส 20 ล้าน แถมโยกเงินวัด ใช้ชื่อ “อรัญญาวรรณ” ซื้อที่ดินปากช่อง “พศ.” แจงยักยอกเงินวัดเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ติงอย่าเหมารวมคณะสงฆ์ ชี้ “สมเด็จพระสังฆราช” มีพระลิขิตหาแนวทาง “จัดการวัด” ให้โปร่งใส

เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่กองปราบปราม พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ,พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. ,พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พร้อมด้วย นายบุญเชิด กิตติธรางกูล รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, นายคณพศ หงสาวรางกูล ผู้ตรวจเงินแผ่นดิน (สตภ.3), นายสุทธิศักดิ์ สุมน ผอ.กองกฎหมาย รองโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. และ พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. ร่วมกันแถลงผลความคืบหน้าคดีอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงยักยอกเงินวัด

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า 7 วันที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยได้ลงพื้นที่ และเก็บข้อมูลรายละเอียดมาได้เพิ่มเติม ขณะนี้มุ่งเน้นไปที่การหยุดยั้งการกระทำความผิดและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวัด โดยจะต้องแยกว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องบุคคล ไม่ใช่ส่วนรวม ซึ่งการสืบสวนมีทั้งการส่งคนไปสอดแนมเก็บข้อมูลรวบรวมหลักฐาน และการสืบสวนทางเทคโนโลยี จนสามารถได้ข้อมูลมา

ทั้งนี้ หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วพบการตรวจสอบบัญชีย้อนหลังตั้งแต่ ปี 64 มีเงินหมุนเวียนกว่า 300 ล้านบาท ล่าสุดมีการขยายผลตรวจบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องทั้งของวัดและมูลนิธิจำนวน 51 บัญชี และ บัญชีส่วนตัวของทิดแย้มอีก 21 บัญชี น.ส.อรัญญาวรรณอีก 12 บัญชี โดยมุ่งเน้นไปที่เงินหมุนเวียนของ น.ส.อรัญญาวรรณ ที่เป็นผู้รับผลประโยชน์

  • โดยพบว่าตั้งแต่ปี 59 ตรวจเจอบัญชีมีเงินหมุนเวียนทั้งหมดกว่า 2,000 ล้านบาท โดยพบว่ามีช่องทางการรับเงิน 4 ช่องทาง ประกอบด้วย 1.เป็นการฝากเงินสดเข้าบัญชี 2.รับโอนเงินจากอดีตเจ้าอาวาสโดยตรง 3.โอนเงินจากพระเอกพจน์ คนสนิทของ อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง และ 4.รับโอนเงินจาก พ.จ.อ.ฉัตรชัย สามีนางพชรพร หรือ “บอสเตย” สองสามีภรรยา ผู้มีอิทธิพลในวัดไร่ขิง

ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ท. กล่าวว่า บัญชีวัดพบความผิดปกติหลายรายการ น่าจะเป็นการทำบัญชีไม่โปร่งใสยกตัวอย่างเช่น การเปิดเช่าร้านค้างานประจำปี ซึ่งหนึ่งปีจะมีรายได้ประมาณ 30 ล้านบาท โดยเดิมทีมีการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารวัด แต่หลังจากปี 63 เป็นต้นมา กลับเป็นการนำเงินสดไปมอบให้กับเจ้าอาวาสในกุฏิแทน ยอดรวมเบื้องต้นทราบว่าประมาณ 200 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบเงินจากกฐินเข้าบัญชีเจ้าอาวาสอีก 20 ล้านบาท และยังมีเงินจากวัตถุมงคล ซึ่งยังไม่ระบุจำนวนแน่ชัด จากการตรวจสอบพบผู้เกี่ยวข้อง 2 คน ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน โดยที่มาที่ไปในการเปิดร้านค้าสวัสดิการ เป็นที่น่าสงสัย ซึ่ง ป.ป.ท. จะต้องไปตรวจสอบในเชิงลึกและติดตามทรัพย์สินต่อไป

ขณะที่ ปปง. ระบุได้เข้าตรวจสอบข้อมูลจากฐานข้อมูลที่ บก.ปปป. และจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ได้แก่ ทิดแย้มและผู้มีความเกี่ยวพันอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้มีการตรวจพบธุรกรรมทางการเงินจำนวนมากซึ่งมีความผิดปกติ จึงนำหลักฐานดังกล่าวส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการสืบสวนต่อ เพื่อหาว่าใครเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนี้บ้าง ขณะนี้ ปปง. ได้เริ่มขยายผลการตรวจสอบเป็น 3 วงด้วยกัน ได้แก่ วงที่ 1 ผู้กระทำความผิดโดยตรง วงที่ 2 และ 3 ผู้ที่มีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ซึ่งอาจครอบคลุมถึงบุคคลภายนอกหรือเครือข่ายที่รับผลประโยชน์

รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการทบทวนระบบการบริหารจัดการวัดอย่างจริงจัง โดยสมเด็จพระสังฆราชได้มีพระลิขิตมายังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อขอให้พิจารณาแนวทางในการนำเสนอข้อปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งแสดงถึงความห่วงใยของพระองค์ท่านต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การประชุมของมหาเถรสมาคม และมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างระบบบริหารจัดการวัดให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น

“กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่ใช่ภาพสะท้อนของคณะสงฆ์หรือวัดโดยรวม พร้อมยืนยันว่าวัดยังคงเป็นสมบัติของชุมชนและของแผ่นดิน เช่นกรณีวัดไร่ขิงก็ยังต้องเดินหน้าต่อในฐานะศูนย์กลางจิตใจของประชาชน พร้อมขอความร่วมมือทุกภาคส่วนช่วยกันดูแลรักษาวัดให้คงอยู่เป็นสมบัติของชาติต่อไป” รอง ผอ.พศ. ระบุ

รายงานว่าขณะการแถลงข่าวนั้น ได้มีการเปิดไฟล์คลิปเสียงระหว่าง “ทิดแย้ม” กับ “น.ส.อรัญญาวรรณ” พูดคุยกัน ซึ่งทาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า ในคลิปมีการพูดถึงเรื่องต้องโอนเงินเข้าระบบการเล่นการพนัน ที่ค้าง 4 งวด เป็นจำนวนเงิน 2 ล้านบาทโดยเข้าใจได้ว่าเป็นทางทิดแย้มโอนเงินให้ทาง น.ส.อรัญญาวรรณ หรือสีกาเก็น ไปเล่นการพนัน และจากข้อมูลโทรศัพท์ของทิดแย้ม ยังไม่พบความสัมพันธ์จากตัวทิดแย้มในการเล่นพนัน

ตามข้อมูล น.ส.อรัญญาวรรณ เป็นเด็กข้างวัด เรียนอยู่ที่วัดไร่ขิง ตอนอยู่มัธยมต้นมาทำกิจกรรมจิตอาสาที่วัด หลังจากนั้นก็ออกไปทำงานปรากฏว่าค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ จึงไปขอร้องหยิบยืมทิดแย้ม เพราะทิดแย้มเคยพูดว่าเป็นเด็กวัดไร่ขิง มีแหวนวัดไร่ขิง ถ้ามีปัญหาอะไรให้มาพบหลวงพ่อได้ น.ส.อรัญญาวรรณ จึงมายืมเงินทิดแย้ม 50,000-60,000 บาท ทางด้านทิดแย้มก็ช่วยเหลือไป หลังจากนั้นก็เริ่มติดต่อสัมพันธ์พูดคุยกันทุกวัน และมีการโอนเงินให้เล็กๆ น้อยๆ จากนั้นก็เริ่มมีการแลกเปลี่ยนแอปพลิเคชันไลน์กัน แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งถึงขั้นมีการพูดคุยโชว์หน้ากัน และเริ่มเซ็กซ์โฟน ทำให้เงินของวัดเริ่มไหลออกจากบัญชีวัดเรื่อยๆ

ส่วนทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือไม่นั้นยังยืนยันไม่ได้และในคลิปเสียงคาดว่าน่าจะเป็นช่วงปลาย ปี 67 ทั้งคู่ได้โต้แย้งกันเรื่องของเงินที่จะไปเล่นการพนัน ซึ่งทิดแย้มหมดทางที่จะไปต่อ เงินวัดร่อยหรอ และไม่รู้จะไปยืมเงินใคร ทิดแย้มจึงรู้ตัวว่าไม่ไหวแล้ว ต่อมาอีก 2 เดือน ประมาณเดือนธันวาคม 67 น.ส.อรัญญาวรรณ และสามีก็ถูกตำรวจไซเบอร์จับกุม และได้ไปขอความช่วยเหลือจากทางทิดแย้มอีกครั้ง โดยได้พูดกับทิดแย้มว่าคลิปต่าง ๆ ที่มีอยู่รวมถึงคลิปเซ็กซ์โฟน ก็ถูกเจ้าหน้าที่ของตำรวจไซเบอร์ยึดไป เพื่อแบล็กเมลทิดแย้มให้ช่วยเหลือ

รอง ผบช.ก. กล่าวต่อว่า ส่วนจะเข้าข่ายการรีดทรัพย์ทิดแย้มหรือไม่นั้น เรื่องนี้มองเป็น 2 เรื่อง โดยเรื่องแรกคือการทุจริต ส่วนเรื่องที่สองคืออุบายการเเบล็กเมล อย่างไรก็ตาม “ทิดแย้ม” ได้กระทำผิดสำเร็จแล้ว จึงยืนยันว่าไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลหลักฐาน

ส่วนกรณีบอสเตยและสามีเป็นเรื่องที่ตรวจสอบรายละเอียดลึกลงไป พบว่าทั้งคู่ได้เข้ามารู้จักกับเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี 51 โดยพบว่าหมอเตยเป็นหมอดูร่างทรงไม่ใช่หมอ และยังพบว่าเป็นผู้มีอิทธิพลกับทิดแย้มอย่างมากในการบริหารจัดการภายในวัด โดยสิ่งที่พบคือร้านค้าสวัสดิการในวัด มีคนมาร้องว่าไปซื้อกาแฟ แต่บัญชีในการสแกนไม่ใช่ชื่อของวัดแต่เป็นชื่อของบุคคล ซึ่งก็จะต้องสืบสวนดำเนินการต่อ ซึ่งข้อมูลนี้เป็นการสอบถามข้อมูลจากคนใกล้ชิด แต่ยังหาพยานหลักฐานไม่ได้ว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันหรือไม่

โดยยังพบว่าในช่วงแรกทางทิดแย้มมีการดุด่าว่ากล่าวหมอเตย แต่ช่วงหลังมีการเปลี่ยนไปไม่ฟังเสียงคนอื่น นอกจากนี้ยังพบอีกว่าตั้งแต่ปี 51 มีผู้ชาย 5 คนเข้ามาเกี่ยวข้องกับหมอเตยอีกเช่นกัน แต่ยังไม่ทราบตอนนี้ว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแค่ไหน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมเรียกทั้ง 5 คนมาให้ปากคำ

พ.ต.ท.สิริพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบพบวงแรก ตรวจเจอประมาณเกือบ 10 คนที่เกี่ยวข้องเป็นคนใกล้ชิดกับทิดแย้ม โดยรวมถึงนางสาวอรัญญาวรรณ และพระท่านอื่น ๆ ด้วย อีกทั้งยังพบการฝากถอนเฉพาะบัญชีเดียว (บัญชีวัด) 20,000 รายการ และยังมีการนำเงินไปซื้อที่ดิน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา อีกหลายแปลง โดยใช้ชื่อของ น.ส.อรัญญาวรรณ เป็นผู้ถือครอง

Related Articles