จับตาสถานการณ์ “ไทย-กัมพูชา” ส่อปะทุรุนแรง หลังไทยสั่งปิดด่าน ตัดเหี้ยน “ไฟฟ้า-เน็ต-น้ำมัน” สกัดภัยคุกคามสแกมโบเดีย! ปูด “ฮุน มาเนต” เดินสายจุดไฟ “เขมรคลั่งชาติ” ปลุกระดม วัยโจ๋-ม็อบพนมเปญ ฮึ่มท้ารบไทย ฝอยรายวัน! อ้างสอยโดรนไทยร่วง-ยึดปืนกลที่ลืมไว้ หวังสิ้นเสียงปืน ใช้เป็นข้ออ้างชงข้อพิพาทขึ้นศาลโลก แฉเบื้องหลัง “ระงับ” นำเข้าน้ำมัน-ก๊าซจากไทย ชี้ผลประโยชน์ทับซ้อน “กัมปูเจีย เทล่า” บริษัทพลังงานใหญ่เบอร์ต้น นอมินี “อังเคิ่ลฮุน” ตุ๋นคนเขมรเปื่อย-ฟันกำไรส่วนต่างจากวิกฤตพลังงานในประเทศ โยง “บุน รานี-ฮุน มานา” เมีย-ลูกสาวชี้ถือหุ้นรวมกัน 32% ส่วนที่เหลือกระจายให้คนใกล้ชิดอดีตผู้นำ
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.68 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ยังคงตกอยู่ในภาวะวิกฤตและความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน การปะทุขึ้นของข้อพิพาทบริเวณชายแดน ตามมาด้วย “มาตรการตอบโต้” ทางการค้าที่รุนแรง และข้อกล่าวหาเรื่องการ “ปลุกระดม” โดยผู้นำกัมพูชา ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนและเปราะบาง
การตัดสินใจของ “รัฐบาลกัมพูชา” ในการระงับการนำเข้าพลังงานจากประเทศไทยได้จุดประกายคำถามสำคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบทบาทของบริษัท Kampuchea Tela ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวของอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน

ความตึงเครียดชายแดน ขยายวง “ศูนย์กลางอาชญากรรมโลก”
ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศเริ่มปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ภายหลังการที่ “ไทย” ปิดจุดผ่านแดนส่วนใหญ่ใน 7 จังหวัดชายแดนกับกัมพูชา และคำกล่าวของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่ากัมพูชาเป็น “ศูนย์กลางอาชญากรรมโลก”
สื่อในกัมพูชายังคงรายงานอย่างต่อเนื่อง ถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวอย่างแข็งขัน โดยมองว่าเป็นการกล่าวหาที่ไม่ถูกต้องและเป็นอันตรายต่อความร่วมมือในภูมิภาค กัมพูชายืนยันถึงความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ทางด้านรัฐบาลไทยยังคงยืนยันข้อกล่าวหาที่ว่า “กัมพูชา” เป็นแหล่งที่ตั้งของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติหลายประเภท โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และการฟอกเงิน ซึ่งไทยมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศไทยอย่างยิ่ง
การปิดจุดผ่านแดนถูกอธิบายว่า “เป็นมาตรการที่จำเป็น” เพื่อกดดันให้กัมพูชาเร่งปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้อย่างจริงจัง และเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายเงินผิดกฎหมายหรืออาชญากรข้ามพรมแดน แม้จะมีการจำกัดการเข้าออกเฉพาะกรณีจำเป็น เช่น นักเรียนและผู้ป่วย เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน แต่ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและแรงงานยังคงเป็นที่ยอมรับ

จุดไฟสงคราม! “ฮุน มาเนต” ปลุกระดมเขมรโจมตีไทย
ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ได้มีรายงานที่น่ากังวลเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำที่แข็งกร้าวของ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งอาจมีส่วนในการเพิ่มความตึงเครียดและปลุกระดมให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่ชายแดน
มีรายงานข่าวที่อ้างว่า นายกรัฐมนตรี “ฮุน มาเนต” ได้กล่าวถ้อยคำที่อาจตีความได้ว่าเป็นการ “ปลุกระดม” ให้เกิดความตึงเครียดและเหตุการณ์ความรุนแรงต่อไทย โดยมีการกล่าวถึงการให้รางวัลแก่เจ้าหน้าที่ หากมีการโจมตีกำลังพล หรือโจมตียุทโธปกรณ์ทางการทหารของไทย การกล่าวอ้างนี้ได้สร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ด้านความมั่นคงบริเวณชายแดน และอาจนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นจากฝ่ายไทย
แม้จากการตรวจสอบล่าสุด ยังไม่พบถ้อยคำที่ชัดเจนของ “ฮุน มาเนต” ที่กล่าวว่ามีการให้รางวัลเจ้าหน้าที่หากมีการโจมตีฝ่ายไทยโดยตรง แต่มีรายงานข่าวที่สะท้อนถึงถ้อยคำที่แข็งกร้าวและชาตินิยมของผู้นำกัมพูชา ในบริบทของความตึงเครียดกับไทย
ทั้งนี้ มีรายงานว่า “ฮุน มาเนต” ได้ปลุกระดม “เลือดรักชาติ” ในการปราศรัย โดยอ้างว่าไทยเป็นผู้สร้างปัญหาชายแดน และกัมพูชาได้อดทนต่อการรุกราน พร้อมทั้งใช้มาตรการทางเศรษฐกิจกดดัน
อีกทั้งมีรายงานข่าวระบุว่า “ฮุน มาเนต” ได้กล่าวอย่างแข็งกร้าวว่ากัมพูชา “ถือไพ่เหนือกว่าไทย” และเปรียบ “เขมรเป็นงูพร้อมฆ่าศัตรูเสมอ” ซึ่งอาจถูกตีความได้ว่าเป็นการใช้ถ้อยคำที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์
“ฮุน มาเนต” กล่าวอ้างว่าไทยได้ส่งโดรนเข้าไปในดินแดนกัมพูชาซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยโดรนบางส่วนถูกยิงตก นอกจากนี้ กัมพูชาได้ยึดปืนกลที่ทหารไทยลืมไว้ และได้เรียกทหารไทยให้ไปเก็บคืนมา ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความพร้อมในการป้องกันประเทศ
นายกฯ กัมพูชา ย้ำว่าชัยชนะและความพ่ายแพ้ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยอาวุธเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจตีความได้ว่า กัมพูชามีความพร้อมที่จะต่อสู้ในรูปแบบอื่นๆ
ถ้อยคำที่เหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงการยกระดับ “ท่าทีที่แข็งกร้าว” และ “ชาตินิยม” ของผู้นำกัมพูชาอย่างชัดเจน ซึ่งอาจถูกตีความว่า “เป็นการกระตุ้นให้เกิดความตึงเครียดและอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่เปราะบางบริเวณชายแดนได้”

มาตรการตอบโต้! ‘ระงับนำเข้าพลังงาน’ เงาของ Kampuchea Tela
เพื่อตอบโต้การกระทำของไทย “กัมพูชา” ได้ดำเนินมาตรการที่แข็งกร้าวหลายประการ รวมถึงการ “ระงับ” การนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากประเทศไทย และการปิดจุดผ่านแดนบางแห่ง โดย “ฮุน มาเนต” เคยกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ลูกบอลอยู่ในสนามของไทย” โดยความตึงเครียดจะคลี่คลายลงได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่ายไทย
นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวหาจากฝั่งกัมพูชาว่าไทยกำลังใช้ข้อพิพาทชายแดนและอิทธิพลทางเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากเหตุผลทางการเมืองแล้ว สื่อหลายสำนักทั้งในและต่างประเทศได้เริ่มตั้งคำถามถึง “เบื้องหลัง” ของการตัดสินใจระงับการนำเข้าพลังงานจากไทย โดยพุ่งเป้าไปที่ผลประโยชน์ทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในประเทศอย่าง Kampuchea Tela (หรือ Tela Petroleum)
Kampuchea Tela ได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุด และมีอิทธิพลอย่างมากในภาคเชื้อเพลิงของกัมพูชา บริษัทแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการจัดหาพลังงานให้กับประเทศ ด้วยมูลค่าทุนจดทะเบียนกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ธุรกิจของ Kampuchea Tela ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่น้ำมันและก๊าซเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ รวมถึงธุรกิจค้าปลีกอย่างร้านสะดวกซื้อ ได้แก่ Tela Mart และ Tela Supermart, ร้านกาแฟ (LUNA Café) การจัดจำหน่ายอาหารทะเล และการนำเข้า ขายน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซสำหรับครัวเรือนและอุตสาหกรรม

ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงมากที่สุดคือ ความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดระหว่าง Kampuchea Tela กับครอบครัวของ “ฮุน เซน” โดยมีรายงานจากหลายแหล่งข่าวระบุว่า ตระกูลฮุนใช้ “นอมินี” ในการถือหุ้นในบริษัทนี้ มีการกล่าวถึงโครงสร้างผู้ถือหุ้นหลักว่า “บุน ซัม เฮง” หรือ “บุน รานี” ภรรยาของฮุน เซน ถือหุ้นประมาณ 22% และ “ฮุน มานา” ลูกสาวของฮุน เซน ถือหุ้น 10% ส่วนที่เหลือกระจายไปยังกลุ่มบุคคลที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับฮุน เซน
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การที่รัฐบาลกัมพูชาสั่งห้ามนำเข้าน้ำมันจากประเทศไทย อาจเป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทในเครือตระกูลฮุนโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการห้ามนำเข้าจากไทยทำให้กัมพูชาต้องหันไปนำเข้าพลังงานจากแหล่งอื่นที่มีต้นทุนสูงขึ้น สิ่งนี้จะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในกัมพูชาเพิ่มสูงขึ้น และผู้ค้าน้ำมันที่มีสต็อกอยู่ ซึ่งรวมถึง Kampuchea Tela ในฐานะผู้ค้ารายใหญ่ จะได้รับผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น
การวิเคราะห์เหล่านี้ตอกย้ำข้อสงสัยเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน โดยชี้ให้เห็นว่า “ตระกูลฮุน” มีอิทธิพลอย่างมากต่อเศรษฐกิจของกัมพูชา ผ่านธุรกิจที่ครอบคลุมในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต กาสิโน อสังหาริมทรัพย์ และเกษตรกรรม ซึ่งทำให้การตัดสินใจของรัฐบาลในด้านเศรษฐกิจและการค้าใดๆ ก็ตาม มักถูกจับตามองถึงแรงจูงใจที่อาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตระกูลผู้นำ

ข้อพิพาทชายแดน สู่การหลอกลวงประชาชน
นอกจากมาตรการทางการค้าแล้ว “กัมพูชา” ยังคงยืนกรานที่จะเดินหน้ายื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อขอให้ตีความเรื่องการกำหนดเขตแดนใน 4 พื้นที่พิพาทเพิ่มเติม ได้แก่ พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นประเด็นที่ไทยไม่เห็นด้วยและต้องการให้แก้ไขปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี
ในขณะที่ความตึงเครียดยังคงดำเนินต่อไป “รัฐบาลไทย” ยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์ของแรงงานไทยในกัมพูชาอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือ หากเกิดกรณีที่แรงงานไทยได้รับผลกระทบจากการเลือกปฏิบัติหรือความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น
สำหรับผลกระทบระยะยาวต่อประชาชนกัมพูชาจากมาตรการของรัฐบาลนั้น หากการระงับการนำเข้าพลังงานจากไทย ทำให้กัมพูชาต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนสูงขึ้น ย่อมส่งผลให้ราคาพลังงานในประเทศสูงขึ้นโดยตรง ซึ่งจะกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนภาคธุรกิจโดยรวม
การที่รัฐบาลกัมพูชาอาจมีนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตระกูลผู้นำในขณะที่ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจในระยะยาว และสร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมากจากการกล่าวหาเรื่อง “การปลุกระดม” ให้เกิดความรุนแรง ควบคู่ไปกับประเด็นข้อพิพาทชายแดนและปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
การใช้ถ้อยคำที่รุนแรงจาก “ฮุน เซน” และ “ฮุน มาเนต” เพื่อปลุกกระแสคลั่งชาติและเพิ่มคะแนนนิยมต่อตนเองในกัมพูชา อาจยิ่งทำให้ความขัดแย้งบานปลายและนำไปสู่การปะทะที่ไม่อาจคาดเดาได้
การที่รัฐบาลกัมพูชาตัดสินใจระงับการนำเข้าพลังงานจากไทย จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่มาตรการตอบโต้ทางการเมือง เพื่อกดดันไทยในประเด็นชายแดนและข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นนโยบายที่อาจมีมิติทางเศรษฐกิจแฝงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเชื่อมโยงที่แนบแน่นกับบริษัท Kampuchea Tela ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลฮุน เซน
สถานการณ์นี้ เน้นย้ำถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ซึ่งการเมือง เศรษฐกิจ และผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลผู้มีอำนาจ อาจผสมผสานกันอย่างแยกไม่ออก
การคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา จึงไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่การเจรจาทางการทูตเท่านั้น แต่อาจต้องคำนึงถึงแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ของ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ในแต่ละประเทศด้วย เพื่อหาทางออกอย่างสันติและฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในภูมิภาค ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายเกินควบคุม