Home Feature ‘ฮุนเซน’ หิวสงคราม! บัญชาการรบเอง ผวาปฏิวัติชิงยึดเก้าอี้ ‘จอมพล5ดาวทอง’ ลุยชายแดน

‘ฮุนเซน’ หิวสงคราม! บัญชาการรบเอง ผวาปฏิวัติชิงยึดเก้าอี้ ‘จอมพล5ดาวทอง’ ลุยชายแดน

by admin

ไฟสงครามส่อลุกโชน! “ฮุน เซน” หวนคุมทัพสูงสุด ยึดคืน “อำนาจกองทัพ” บัญชาการรบเอง จุดชนวนปมขัดแย้งในกัมพูชา สยบลือรัฐประหาร ชี้สัญญาณไม่ลงรอย-หวาดระแวงความภักดี “บ้านใหญ่เกาะกง” พร้อมปฏิกิริยา “เตีย บัญ” ที่ปรากฏตัวเคียงข้าง ลงชายแดนวันนี้ ด้าน “กูรูไพศาล” เตือนไทยระวัง “ศึกใหญ่” ที่ส่อเค้าเกิดการปะทะในสัปดาห์หน้า หลัง “อังเคิลฮุน” รั้งเก้าอี้นายพลพิเศษ 5 ดาวทอง แถมระดมกำลังพล-อาวุธประชิดชายแดน ลั่นอย่าเสียรู้ฝ่ายเขมร! ขณะที่ “กองทัพไทย” ยกระดับเฝ้าระวัง-ตอบโต้รุกล้ำอธิปไตยเด็ดขาด เผย “กองกำลังบูรพา-สุรนารี” พร้อมเคลื่อนย้าย “รบพิเศษ-อาวุธหนัก” ตรึงแนวปะทะทันที

การเข้ารับตำแหน่ง “เสนาธิการทหารสูงสุด” ของสมเด็จฯ ฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา กำลังเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิดถึงพลวัตอำนาจในกองทัพ ท่ามกลางกระแสข่าวความไม่ลงรอยกับ “พลเอก เตีย บัญ” อดีตรัฐมนตรีกลาโหม รวมถึงความกังวลจากนักวิเคราะห์ไทยอย่าง “ไพศาล พืชมงคล” ที่มองว่านี่คือสัญญาณการเตรียมพร้อมทำศึกใหญ่กับประเทศไทย ขณะเดียวกัน การปรากฏตัวของพลเอก เตีย บัญ เคียงข้างฮุน เซน ในการลงพื้นที่ชายแดนวันนี้ (26 มิ.ย.) ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับสถานการณ์ ด้านกองทัพไทยได้ยกระดับมาตรการเฝ้าระวังและตอบโต้การรุกล้ำอธิปไตยอย่างเด็ดขาด โดยมีการหารือกับผู้นำกองทัพญี่ปุ่นถึงประเด็นข้อพิพาทชายแดนที่เกิดขึ้น

สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้กลับมาดำรงตำแหน่ง “ผู้บัญชาการสูงสุด” ระดับ 5 ดาวทอง หลังส่งไม้ต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ “ฮุน มาเนต” บุตรชายเมื่อปีที่แล้ว โดยการเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นการกระชับอำนาจและควบคุมกองทัพแบบเบ็ดเสร็จ ท่ามกลางกระแสข่าวลือเรื่องความพยายามรัฐประหารก่อนหน้านี้

นักวิเคราะห์เชื่อว่าการตัดสินใจของฮุน เซน สะท้อนความไม่ไว้วางใจต่อโครงสร้างอำนาจภายในกองทัพ โดยเฉพาะต่อ พลเอก เตีย บัญ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมผู้ทรงอิทธิพล แม้พลเอก เตีย เซยฮา บุตรชายจะเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมต่อจากบิดา แต่การที่ฮุน เซน เข้ามากำกับดูแลกองทัพโดยตรง อาจบ่งชี้ถึงความกังวลต่อสายสัมพันธ์และแนวทางการสั่งการของกองทัพภายใต้การนำของบุตรชายตระกูลเตีย

การปรากฏตัวของ พลเอก เตีย บัญ ในคณะที่เดินทางมาพร้อมกับฮุน เซน เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ชายแดนในวันนี้ (26 มิ.ย.) ได้รับการวิเคราะห์จากสื่อบางสำนักว่า พลเอก เตีย บัญ อาจอยู่ในสถานการณ์ที่ “ลำบากใจ” เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชากำลังตึงเครียด ซึ่งการเข้าร่วมคณะในครั้งนี้อาจเป็นการแสดงออกถึงการ “ยอมรับอำนาจ” และเพื่อลดความหวาดระแวงภายใน แม้ว่าก่อนหน้านี้ตระกูล “เตีย” จะถูกมองว่าเป็นผู้มีอิทธิพลและถูกกล่าวหาว่ามีสายสัมพันธ์อันดีกับผู้นำทหารไทย

สำหรับอิทธิพลและการเปลี่ยนผ่านอำนาจของ “พลเอก เตีย บัญ” ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างสูงและยาวนานในกองทัพกัมพูชา โดยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมมาตั้งแต่ปี 2530 จนกระทั่งส่งมอบตำแหน่งให้บุตรชาย “พลเอก เตีย เซยฮา” และน้องชายของพลเอก เตีย บัญ คือ “พลเรือเอก เตีย วิญ” ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทัพเรือ

อย่างไรก็ตาม แม้ตระกูล “เตีย” จะยังคงอยู่ในตำแหน่งสำคัญ แต่การที่สมเด็จฯ ฮุน เซน เข้ามาคุมอำนาจสูงสุดโดยตรงเหนือพลเอก เตีย เซยฮา ย่อมถูกมองว่าเป็นการลดทอนอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดของรัฐมนตรีกลาโหม และเป็นการตอกย้ำว่าการควบคุมสูงสุดอยู่ที่สมเด็จฯ ฮุน เซน

ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองตระกูล “ฮุน” และ “เตีย” ถูกมองว่าเป็น “บ้านใหญ่” ของกัมพูชาที่มีอิทธิพลสูงสุด และมักจะมีการเกลี่ยอำนาจและผลประโยชน์ระหว่างกันอย่างลงตัว เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมือง

แต่ด้วยความหวาดระแวงในเรื่อง “ความภักดี” และ “การควบคุมสูงสุด” ส่งผลให้กองกำลังสำคัญๆ ภายในกองทัพ เช่น หน่วยองค์รักษ์ (Bodyguard Headquarters – BHQ) ที่นำโดย พลเอก ฮิง บุนเฮียง รวมถึงหน่วยอื่นๆ ล้วนถูกบริหารจัดการภายใต้สายบังคับบัญชาที่โยงตรงถึงสมเด็จฯ ฮุน เซน และฮุน มาเนต เป็นการแสดงออกถึงการที่ “ฮุน เซน” พยายามที่จะยืนยันและรวมศูนย์อำนาจการควบคุมกองทัพทั้งหมดไว้ที่ตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการ “เปลี่ยนผ่านอำนาจ” และการปรากฏขึ้นของกระแสข่าวความตึงเครียดต่างๆ

ด้านนายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายและอดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรีของไทย ได้โพสต์ข้อความวิเคราะห์ว่า การที่ฮุน เซน ปลดผู้บัญชาการทหารสูงสุดเดิมและเข้ารับตำแหน่งเองนั้น “เพื่อเตรียมทำศึกใหญ่กับไทย” พร้อมระบุว่ามีการระดมกำลังประชิดชายแดนไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่อเค้าว่าอาจเกิดการปะทะครั้งใหญ่ในสัปดาห์หน้า โดยเน้นย้ำให้กองทัพไทยระมัดระวังและเตรียมพร้อมรับมือ

ขณะเดียวกัน กองทัพไทยได้ยกระดับมาตรการเฝ้าระวังสถานการณ์ชายแดนอย่างเข้มข้น มีการเคลื่อนไหวของกำลังพลเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดย “โฆษกกองทัพบก” ได้ยืนยันการยกระดับการควบคุมเข้มข้นใน 15 ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของประชาชน หลังตรวจพบการเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาเข้ามาในพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง

แหล่งข่าวภายในกองทัพ ระบุว่า กองกำลังป้องกันชายแดนในพื้นที่ติดกับกัมพูชา อาทิ กองกำลังบูรพา (จ.สระแก้ว), กองกำลังสุรนารี (จ.สุรินทร์-ศรีสะเกษ) ได้มีการเตรียมความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์สำหรับแผนเผชิญเหตุ โดยบางรายงานระบุถึงการเคลื่อนย้ายหน่วยรบพิเศษ รถถัง และปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชาเข้ามาประชิดชายแดน ทำให้กองทัพไทยต้องขยับกำลังเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ 100%

นอกจากนี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กองทัพเรือไทยได้แสดงให้เห็นถึงการตอบโต้ที่เด็ดขาด โดยมีการยิง “โดรนปริศนา” จำนวน 4 ลำ ที่รุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้าบริเวณฐานที่มั่นทางทหารของไทย ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการปกป้องอธิปไตยของประเทศ

ทั้งนี้ มาตรการของกองทัพไทยยังรวมถึงการควบคุมการผ่านแดนที่เข้มงวดขึ้น โดยกองทัพบกได้ผ่อนปรนให้ประชาชนสามารถเดินทางข้ามแดนได้เฉพาะกรณีที่จำเป็นและเร่งด่วนเท่านั้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่ใช่สาเหตุของปัญหา ขณะเดียวกัน ได้มีการงดการผ่านเข้า-ออก ของยานพาหนะทุกประเภท และงดการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยวทั่วไป เพื่อความปลอดภัยและควบคุมสถานการณ์

การเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับการที่ “พลโท บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ยอมรับว่าความตึงเครียดตามแนวชายแดนกำลังเพิ่มขึ้น จนอาจจำเป็นต้องปิดจุดผ่านแดนทั้งหมด หากเกิดการปะทะกันขึ้นอีกครั้ง

“เราไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่หากมีการปะทะกัน เราพร้อมที่จะป้องกันอธิปไตยของชาติอย่างเต็มที่และเด็ดขาด” พลโท บุญสิน ระบุ

Related Articles