“กูรูด้านเศรษฐศาสตร์” เตือนรัฐบาลอย่าเพิ่งผลีผลาม เปิดตลาดการค้าทุกประเภทเป็น 0% เพื่อแลกกับการลดภาษีจากสหรัฐฯ ชี้อาจซ้ำเติมเกษตรกร-SME แนะใช้ “ไทยโมเดล” เปิดตลาดเฉพาะสินค้าที่ไทยแข่งขันได้ พร้อมวางมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ก่อนเส้นตายเจรจา 1 ส.ค.นี้
วันนี้ (13 ก.ค. 68) นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผอ.ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ประเทศไทยยังไม่เผชิญสถานการณ์เลวร้ายที่สุดจากกำแพงภาษีทรัมป์ เกมเจรจาต่อรองทางการค้ายังไม่จบ ได้มีการเลื่อนเส้นตายไปวันที่ 1 ส.ค.68 รัฐบาลทรัมป์ใช้กลยุทธ์บีบให้ไทยมีข้อเสนอที่สหรัฐฯ ได้ประโยชน์ และต้องการให้ไทยเปิดเสรีเปิดตลาดสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น ต้องการให้ยกเลิกมาตรการกีดกันการค้าทั้งหลายที่ไม่ใช่ภาษี รวมทั้งระบบโควต้าเพื่อปกป้องผู้ผลิตภายใน โดยเฉพาะสินค้าเกษตร
นายอนุสรณ์ ระบุว่า ทีมเจรจาของไทยควรใช้แนวทางที่เรียกว่า “ไทยโมเดล” คือการเปิดตลาดเพิ่มเติม เฉพาะสินค้าที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันได้ เพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ จะลดอัตราภาษีลงจาก 36% ให้ได้มากที่สุดก่อนถึงเส้นตาย
“เราไม่ควรเปิดตลาดสินค้าทุกประเภทด้วยอัตราภาษี 0% แบบเวียดนาม เพื่อแลกกับการลดภาษีตอบโต้ทางการค้า” นายอนุสรณ์ กล่าว
พร้อมเน้นย้ำถึงประเด็นที่น่าสนใจว่า การเปิดเสรีในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีความอ่อนไหวสูง อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเกษตรกรรายย่อยและผู้ประกอบการ SME
“การเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าที่มีความอ่อนไหวสูง ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง รัฐต้องหาวิธีลดต้นทุนให้กับผู้ผลิต เพื่อให้แข่งขันได้จากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ”
นายอนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า หากการเจรจาล้มเหลวและไทยต้องเผชิญกับกำแพงภาษี 36% จริง จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการส่งออก การลงทุน และอาจนำไปสู่การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นได้ ดังนั้นการเปิดตลาดเพิ่มเติมเพื่อแลกกับการลดภาษี จึงต้องมีมาตรการที่มุ่งเป้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อ SME และแรงงานควบคู่ไปด้วย
