กกต.เรียก หจก.บุรีเจริญฯ แจงบริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทยแล้ว แต่ยังไม่สรุปปมถูก “ชูวิทย์” ร้องยุบพรรค ด้านทนายอั๋นบุกยื่น กกต.เสนอศาลรัฐธรรมนูญฟันดาบสองปมซุกหุ้น จี้สอบเส้นทางเงิน “หจก.บุรีเจริญ” กังขา! ส่อฮั้วหรือไม่-นำเงินไปถ่ายเทเข้ากระเป๋า ส.ส.คนไหน?
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากกรณีเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ก่อนการเลือกตั้ง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยื่นคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ยุบพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างเหตุว่า นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ มีพฤติการณ์เป็นนอมินีถือหุ้นใน หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น แทนนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (ในขณะนั้น) และทั้งนายศุภวัฒน์ ,หจก.บุรีเจริญฯ และบริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ จำกัด ได้มีการบริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทย ตั้งแต่ปี 2561-2565 รวมจำนวนหลายสิบล้านบาท เงินบริจาคดังกล่าวจึงอาจเข้าข่ายขัดมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 นั้น
มีรายงานว่า ขณะนี้คำร้องดังกล่าวยังอยู่ในชั้นการพิจารณาของอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของนายทะเบียนพรรคการเมือง และอยู่ระหว่างการเรียกผู้เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ โดยได้มีการเรียกตัวแทนของ หจก.บุรีเจริญฯ มาให้ข้อมูลแล้ว ซึ่งหากการดำเนินการของอนุกรรมการฯ เสร็จสิ้นแล้ว ก็จะมีการเสนอต่อนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าเป็นความผิด ก็จะเสนอต่อที่ประชุม กกต. เพื่อพิจารณาให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเห็นว่าไม่ผิดก็จะมีคำสั่งยุติเรื่อง
ทั้งนี้ มาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดไว้ว่า “ห้ามพรรคการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้ (19 ม.ค.) ที่สำนักงาน กกต. นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น ได้ยื่นร้องต่อ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบกรณีนายศักดิ์สยาม ยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น และให้พิจารณาส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งยุบพรรคภูมิใจไทย ตามบทบัญญัติของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 90(2) และมาตรา 92(3)
นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า จากกรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการถือของหุ้นของนายศักดิ์สยาม ซึ่งเป็นอดีตเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย โดยผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันประชาชนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคู่ความ ตนเห็นว่ามีประเด็นที่ต้องมายื่นต่อ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีคำวินิจฉัยเรื่องดังกล่าว ที่มีนัยสำคัญว่านายศักดิ์สยาม มีหุ้นของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่นนั้นยังคงเป็นผู้ถือหุ้นอยู่
นั่นหมายความว่านายศักดิ์สยาม มีความเป็นเจ้าของของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญฯ และในขณะที่นายศักดิ์สยามเป็นเจ้าของ หจก.ดังกล่าวอยู่แล้วนั้น หจก.นี้ได้รับงานทำถนนสร้างถนนหลวงมูลค่าหลายพันล้านบาท ซึ่งขณะนั้นนายศักดิ์สยาม มีความเป็น รมว.คมนาคม
ดังนั้น จึงมีข้อสงสัยว่าเงินดังกล่าว อาจจะเป็นการได้งานได้เงินมาจากการฮั้วประมูลหรือไม่ ซึ่งงานและเงินที่ได้จากการฮั้วประมูลนั้นถือเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเงินนี้เอาไปบริจาคให้พรรคภูมิใจไทย อีกทั้งพรรคเองก็รับเอาเงินบริจาคที่ถือเป็นเงินไม่ชอบด้วยกฎหมายตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงอาจจะขัดต่อมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560
ทั้งนี้ ไม่ต้องห่วงในคดีหลัก ซึ่งเปิดช่องให้ยื่นตรวจสอบ และเร็วๆ นี้ ตนจะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ว่าเริ่มมาจากจุดไหน โดยเริ่มจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ไปแตะข้อเท็จจริงเรื่องเงินของ หจก.บุรีเจริญฯ อาจได้มาซึ่งการฮั้วประมูล ซึ่งการฮั้วประมูลมีความผิดทางกฎหมายในทางอาญาที่มีโทษสูง
ตนอยากให้ตรวจสอบเงิน หจก.ดังกล่าว ที่มีนายศักดิ์สยามเป็นเจ้าของตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ได้นำเงินไปแจกจ่ายถ่ายเทไปยัง ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยคนไหนหรือไม่ด้วย ถ้าผิดจริงโทษอาญารออยู่อีกเยอะ