“ก๊วน สว.พันธุ์ใหม่” เคาะส่ง “นันทนา” ชิงประมุขสภาสูง ด้าน “แล-อังคณา” สู้รองประธานคนที่ 1-2 “ประภาส” เชื่อโหวตราบรื่น! ประนีประนอม “สว.สีน้ำเงิน” เปิดทางผู้หญิงนั่งประธาน ปลุกสังคมเช็กบิลหาก “บ้านใหญ่” กินรวบ
นายประภาส ปิ่นตบแต่ง สว.สายประชาสังคม เปิดเผยว่า ในการประชุมวุฒิสภาในวันที่ 23 ก.ค. เพื่อเลือกประธานวุฒิสภา และรองประธานทั้งสองคน ทางกลุ่ม “สว.พันธุ์ใหม่” มีความชัดเจนแล้วว่าจะเสนอ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส เป็นประธานวุฒิสภา, นายแล ดิลกวิทยรัตน์ และนางอังคณา นีละไพจิตร เป็นรองประธานวุฒิสภา ซึ่งถ้าเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมแต่ละคนก็จะต้องแสดงวิสัยทัศน์ เชื่อว่านางนันทนา จะแสดงวิสัยทัศน์ในเชิงบวกว่าคุณสมบัติของคนที่เป็นประธานวุฒิสภาควรจะเป็นอย่างไร ส่วนจะได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสมาชิกวุฒิสภาจะมีความเห็นอย่างไรหลังจากฟังการแสดงวิสัยทัศน์ของทั้ง 3 คนแล้ว แต่เชื่อว่าคงจะมีการประนีประนอมกันกับกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน เพราะฉะนั้นการประชุมในวันที่ 23 ก.ค คงจะราบรื่นไม่มีอะไร และลงมติกันไป
“ผมสนใจตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา คนที่สองมากกว่า ว่าสายสีน้ำเงินจะลงมติกันอย่างไร ถ้าไม่ให้ สว.พันธุ์ใหม่สักตำแหน่ง เชื่อว่าสังคมและสื่อมวลชนก็คงจะช่วยกันตรวจสอบว่ามีคนที่มีคุณสมบัติที่ดีแล้วไม่เลือก คนที่ยกมือสนับสนุนก็ต้องรับฟังเสียงสังคม ผมคิดว่าสังคมก็เคลื่อนไปแบบนี้ จะไปพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินครั้งเดียวคงไม่เป็นอย่างนั้น” นายประภาส กล่าว
เมื่อถามว่าการแบ่งกลุ่มแบ่งก๊วนจะเป็นอุปสรรคในการทำงานของ สว.มีปัญหา โดยเฉพาะการพิจารณากฎหมายสำคัญๆ และการเลือกองค์กรอิสระ นายประภาส กล่าวว่า ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คงยาก เพราะต้องใช้เสียง สว. 1 ใน 3 คือ 67 คน ซึ่งบางมาตราอาจจะเห็นด้วย อาจจะไม่ต้องแก้ไขหรือยกร่างใหม่ทั้งฉบับ แต่ตนคิดว่ามีหลายมาตราน่าจะเห็นร่วมกันว่าจะต้องมีการแก้ไข อยู่ที่จุดมุ่งหมายว่าต้องการที่จะไปปฏิรูปใหม่ ก็ต้องมีการตั้ง ส.ส.ร เหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 ต้องยอมเสียเวลา ถ้าถามว่ายากก็ยากอยู่แล้ว ที่ผ่านมามีถึง 13 ร่าง ดังนั้นตนคิดว่าคงจะมีแก้การแก้ไขบางมาตรา ที่เป็นปัญหาจริงๆ รวมทั้งการเลือก สว.ที่ผ่านมา น่าจะมีการทบทวนใหม่ แต่ไม่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ ต้องให้ทำงานกันไปก่อน อาจจะเป็นช่วงปลายสมัยของ สว.ชุดนี้
เมื่อถามต่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอให้มีสภาเดียว ใช่หรือไม่ นายประภาส กล่าวว่า พรรคก้าวไกลพูดเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว เสนอได้แต่แก้ไม่ได้เหมือนเดิม ถ้ามีสภาฯ เดียว ก็ต้องไปแก้รัฐธรรมนูญ แต่เสียงพรรคก้าวไกลมีอยู่นิดเดียว สว.ก็ถูกคุมได้แล้วจะไปแก้อย่างไร แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ มานิดหนึ่งทั้ง 2 ระบบ สว.ก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่หลังรัฐรัฐประหาร ผู้คนก็ยังทนกันมาได้ แต่ก็ยังมีการเปรียบเทียบกับ สว.ชุดที่แล้ว ที่มีการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ก็มีการเอารัฐมนตรีมาสรรเสริญกัน ครั้งนี้ก็อาจจะมีแต่คงไม่ใช่ทั้งหมด จะมีการทำงานในเชิงตรวจสอบ ก็จะมี สว.ที่ไม่ใช่สีน้ำเงิน แม้จะไม่มาก ถ้าขยันทำงาน เป็นชิ้นเป็นอัน เหมือน สว.ที่มาจากการเลือกตั้งปี 2540 ที่ขยันทำงานเข้มแข็ง อย่าง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ และนายจอห์น อึ้งภากรณ์ แม้จะมีข้อจำกัด แต่ก็ทำให้เห็นผลงานได้
“เพราะฉะนั้น สว.ชุดนี้ ก็ยังย่ำอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เป็นตามไปตามเจตนารมณ์ของคนที่ร่างรัฐธรรมนูญ ที่อยากให้ระบบการเลือกแบบนี้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวแทนกลุ่มอาชีพ ถือว่าประสบความล้มเหลว แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นคนในสังคมก็ต้องช่วยกันตรวจสอบรวมถึงหนังสือมวลชนจับจ้องอยู่คงทำอะไรไม่ได้มาก และไม่น่าจะถึงกับปิดประตูตีแมว หรืออยู่ในแดนสนธยา” นายประภาส กล่าวในตอนท้าย