ร้อนฉ่าถึงนายกฯ ปมป้ายโฆษณา “ซื้อ-ขายพาสปอร์ต” โชว์หรากลางสี่แยกห้วยขวาง “เศรษฐา” บุกเดี่ยว สน. จี้ตำรวจสอบเข้ม! สาวที่มาป้ายฉาว ชี้ยังไม่กระทบความมั่นคง แต่กำชับจับตา “ธุรกิจคนจีน” ในพื้นที่ ย้ำทุกอย่างต้องถูกกฎหมาย
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมายัง สน.ห้วยขวาง เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีมีการติดป้ายโฆษณาภาษาจีนซื้อ-ขายพาสปอร์ตและสัญชาติขนาดใหญ่อยู่กลางแยกห้วยขวาง ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่าในประเทศไทยสามารถซื้อขายกันได้จริง และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงหรือไม่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศ เพียงแต่ว่าวันนี้เดินทางมาตรวจเยี่ยม เพื่อมากำชับในเรื่องการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องการติดแผ่นป้ายโฆษณา ควรตรวจสอบอย่างรอบคอบและทุกอย่างทำตามขั้นตอนกฎหมายหรือไม่ ซึ่งส่วนไหนถูกก็ให้ว่าไปตามถูก แต่หากส่วนไหนผิดก็ให้ว่าไปตามผิด ยืนยันต้องให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย
ส่วนจะกระทบต่อความมั่นคงหรือไม่นั้น ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ
นอกจากนี้นายกฯ ได้สั่งให้ทางเจ้าหน้าที่เข้มงวดในพื้นที่ เนื่องจากเขตห้วยขวางมีการเข้ามาลงทุนของชาวจีนจำนวนมาก จึงอยากให้มีการเข้มงวดตรวจสอบ ซึ่งทุกอย่างต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะเดียวกันได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้มงวดเรื่องของยาเสพติดและเรื่องหนี้นอกระบบในพื้นที่ที่รับผิดชอบด้วย
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน.ห้วยขวาง เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในวันพรุ่งนี้ (12 ก.ค.) จะลงพื้นที่ตรวจสอบตึกที่ติดแผ่นป้ายโฆษณาที่อยู่ตรงแยกห้วยขวาง โดยมีอยู่ 3 ประเด็นที่จะต้องตรวจสอบ คือ 1.เรื่องการขออนุญาตติดแผ่นป้ายโฆษณา 2.เรื่องการเสียภาษีการโฆษณา และ 3.เรื่องการซื้อขายสัญชาติและพาสปอร์ต
ในข้อนี้จะต้องปรึกษาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ว่าการโฆษณาชักชวนให้มีการซื้อขายสัญชาติและพาสปอร์ตในประเทศไทย สามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งจากที่ทราบมี 8 ประเทศที่สามารถซื้อขายสัญชาติ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในประเทศที่มีประชากรน้อย และเชิญชวนชาวต่างชาติไปทำธุรกิจในประเทศเหล่านั้น พ.ต.อ.ประสพโชค ยังกล่าวถึงการเดินทางลงพื้นที่ของนายกฯ เศรษฐา ว่า นายกฯ บังเอิญผ่านมาพอดีและจะไปทำธุระอีกที่หนึ่ง จึงห่วงใยและแวะมาสอบถามข้อมูล จึงได้ให้ข้อมูล ซึ่งข้อกำชับของนายกรัฐมนตรีคือให้ตรวจสอบและให้ความเป็นธรรมตรวจสอบให้รอบด้าน ซึ่งนายกฯ ไม่ได้กังวลเรื่องใด เพียงแต่มาให้กำลังใจและให้แนวทางการทำงาน