“ตำรวจ-สคบ.” บุกค้นรัง “ดิไอคอน กรุ๊ป” !!! ยึดสินค้า 15 รายการไปตรวจสอบ “บิ๊กต่าย” เผยมีผู้เสียหายแล้วกว่า 120 คน เบื้องต้นเสียหายกว่า 50 ล้านบาท จ่อหมายเรียก “บอส-พรีเซ็นเตอร์” ให้ปากคำ ชี้ประสาน ปปง.ใช้กฎหมายฟอกเงิน สั่งอายัดบัญชี-ทรัพย์สินผู้บริหาร ป้องโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ขณะที่ “ดีเอสไอ” สั่งสอบคู่ขนาน หากส่อแชร์ลูกโซ่-เสียหายเกิน 100 ล้านเข้าข่ายคดีพิเศษ “รมต.สำนักนายกฯ” นัดหารือทุกฝ่ายเย็นนี้
ความคืบหน้าคดี “ดิไอคอน” ล่าสุดวันนี้ (11 ต.ค.) สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) พร้อมด้วยตัวแทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี โดยใช้อำนาจเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้น บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ตั้งอยู่ย่านรามอินทรา กทม. โดยมีการตรวจค้นและยึดยึดผลิตภัณฑ์จำนวน 15 รายการ ที่นำมาจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไป ไปตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน เพื่อประกอบการพิจารณาคดี
ขณะที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงการสอบปากคำกลุ่มผู้ร่วมทำธุรกิจกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ พบว่ามีผู้เดินทางเข้ามาให้การกับตำรวจและแสดงตัวเป็นผู้เสียหายแล้วกว่า 120 คน มูลค่าความเสียหายประมาณ 50 ล้านบาทแล้ว โดยพนักงานสอบสวน ได้รวบรวมหลักฐานต่างๆ ตั้งแต่การรับสมัคร การเข้าเรียนคอร์สออนไลน์, การชักชวนไปร่วมลงทุน และตัวอย่างสินค้าของบริษัท เพื่อนำมาพิจารณาว่าเข้าข่ายกระทำความผิดในข้อหาใดบ้าง
สำหรับผู้บริหารของบริษัท และดารานักแสดงที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการชักชวนประชาชนเข้าร่วมลงทุน หรือเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัท พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า อาจจะต้องออกหมายเรียก มาให้การเพิ่มเติมกับตำรวจทั้งหมด โดนมุ่งไปที่ระดับผู้บริหารบริษัทก่อน จากนั้นจึงเป็นการพิจารณาเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม กระบวนการหลังจากนี้คือ การสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าพบว่ากระทำความผิดก็จะมีการแจ้งข้อกล่าวหา
พร้อมกันนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งจะมีการหารือในเย็นวันนี้ (11 ต.ค.) เกี่ยวกับการตรวจสอบทรัพย์สินและอายัดบัญชีของผู้บริหารบริษัทเอาไว้ตรวจสอบ โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน ป้องกันผู้ถูกกล่าวหาโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สิน
ด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงการนำคดี “ดิไอคอน” เป็นคดีพิเศษว่า ต้องพิจารณาว่าอยู่ในบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษหรือไม่ หากมีเรื่องแชร์ลูกโซ่ มีมูลค่าความเสียหาย 100 ล้านบาทขึ้นไป มีผู้เสียหายมากกว่า 300 คน จึงจะนำเข้าสู่การพิจารณาเพื่อรับเป็นคดีพิเศษได้ ถ้ามีผู้ร้องมาก็ต้องดำเนินการสอบสวนก่อน อำนาจตอนนี้เป็นของตำรวจ โดยดีเอสไอได้ติดตามและจัดชุดตรวจสอบคู่ขนาน เพื่อหาข้อเท็จจริง หากเป็นคดีพิเศษ ทางดีเอสไอก็สามารถตั้งตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวน ร่วมสอบสวนได้
ทั้งนี้ ทาง สคบ.ได้ประสานมายังดีเอสไอ และมีการประสาน ปปง.เพื่อป้องกันการยักย้ายทรัพย์ โดยในเย็นวันนี้ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นัดหารือกับดีเอสไอ และ ปปง.เกี่ยวกับเรื่องนี้