“กกต.” เผยยอดประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. 58.45% พบลำพูนใช้สิทธิ์มากสุดถึง 73.43 % แจงเลือกนายก อบจ. “บัตรเสีย” 9.3 แสนใบ ขณะที่ ส.อบจ. บัตรเสียสูงเกือบ 1.5 ล้านใบ
วันนี้ (3 ก.พ.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงสรุปภาพรวมการเลือกตั้งสมาชิกสภาและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่าในส่วนการเลือกตั้งนายก อบจ. มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 27,991,587 คน มีผู้มาใช้สิทธิ 16,362,185 คน คิดเป็น 58.45 % ถือว่าลดลงจากการเลือกตั้ง อบจ.ปี 2563 ประมาณ 4 % โดยในจำนวนเป็นบัตรดี 14,272,694 ใบ คิดเป็น 87.23 % ส่วนบัตรเสีย 931,290 ใบ คิดเป็น 5.69 % ก็ถือว่าเกือบจะเท่ากับปี 2563 ที่มีบัตรเสียอยู่ที่ 5.63 % และบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 1,158,201 ใบ คิดเป็น 7.08 %
ขณะที่ภาพรวมการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. มีจำนวนผู้มีสิทธิ์ 47,124,842 คน มีผู้มาใช้สิทธิ 26,418,754 คน (คิดเป็น 56.06 %) โดยเป็นบัตรดี 23,131,324 ใบ (คิดเป็น 87.56%) บัตรเสีย 1,488,086 ใบ (คิดเป็น 5.63%) และบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 1,799,344 ใบ (คิดเป็น 6.81%)
ส่วนจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาและนายก อบจ. มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ ลำพูน คิดเป็น 73.43 % ,นครนายก คิดเป็น 73 % ,พัทลุง คิดเป็น 72.56 % ,นราธิวาส คิดเป็น 68.42% และมุกดาหาร คิดเป็น 68.03 %
จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ.มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ พะเยา คิดเป็น 61.68 % ,เลย คิดเป็น 58.04 % ,เพชรบุรี คิดเป็น 57.44 % ,ยโสธร คิดเป็น 56.72 % และชัยนาท คิดเป็น 56.63 %
เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า จากข้อมูลที่เห็นว่ามีผู้ออกมาใช้สิทธิ์น้อย ไม่ได้ตามเป้าเพราะจัดการเลือกตั้งวันเสาร์นั้น เรื่องนี้ตนเคยชี้แจงว่ามีข้อจำกัดที่ข้อกฎหมายที่ต้องเลือกภายใน 45 วัน และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นพบว่ามี 6 จังหวัดที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ส่งรายงานผลคะแนนและหับบัตรเกินเวลา 24 นาฬิกา ของวันที่ 1 ก.พ. สะท้อนว่าสิ่งที่เราได้ตัดสินใจเลือกตั้งวันเสาร์นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ที่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งครั้งนี้ก็เกิดเหตุกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างส่งหีบบัตร ซึ่งตนขอแสดงความเสียใจ และทาง กกต.จะดูแลตามสิทธิที่ กปน.ควรจะได้รับ
“ดังนั้นการเลือกวันเลือกตั้ง จึงต้องตัดสินใจบนพื้นฐานที่ไม่กดดันการทำงานของผู้ปฏิบัติงานด้วย และการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ ไม่ได้กระทบต่อการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม เพราะผู้สมัครทุกคนแข่งขันขันอย่างเท่าเทียม ภายใต้กติกาเดียวกัน อีกทั้งจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ น้อยกว่าการจัดเลือกตั้งปี 2563 เพียง 4% แต่ถ้าเทียบการจัดเลือกตั้ง อบจ.วันเสาร์คราวนี้ มี 29 จังหวัดที่เลือกตั้งไปก่อนหน้านี้แล้ว ถือว่าครั้งนี้ดีกว่า” นายแสวงกล่าว
ส่วนจำนวนบัตรเสีย ยืนยันว่าไม่ต่างจากปี 2563 โดยบัตรเสียจากการเลือกนายก อบจ.ถือว่าเท่ากับปี 2563 ขณะที่บัตรเสียจากการเลือกสมาชิกสภาดีกว่าครั้งที่แล้ว น้อยกว่าเดิม 7.63 % ซึ่งจากการได้รับข้อมูลพบว่า สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากตัวระบบเองที่ทำให้มีเบอร์ของผู้สมัครที่ส่งในนามพรรค และส่งในนามสมาชิก บางจังหวัดมีการแข่ง ทำให้จำนวนไม่เท่ากัน เพราะบางจังหวัดเลือกเฉพาะสมาชิก บางจังหวัดก็เลือกทั้ง 2 ประเภท ทำให้ประชาชนอาจสับสน ลงคะแนนในช่องที่ไม่มีผู้สมัคร มองได้ว่าไม่ได้เป็นการตั้งใจทำให้บัตรเสีย ขณะเดียวกันยังมีการแบ่งเขตใหม่ จึงทำให้ประชาชนสับสน ส่วนที่ตั้งใจทำให้เป็นบัตรเสียนั้นมีส่วนน้อย
สำหรับ “บัตรโหวตโน” ไม่เลือกใครนั้น ทาง กกต.ไปตอบแทนประชาชนไม่ได้ แต่ช่องนี้น่าจะเป็นการแสดงความรู้สึกของประชาชนต่อผู้สมัครในเขตนั้นๆ ซึ่งครั้งนี้สมาชิกสภา อบจ.ไม่ผ่านเกณฑ์คะแนนตามที่กฎหมายกำหนด 3 เขต คือได้คะแนนเสียงไม่มากกว่าคะแนนที่ไม่เลือกผู้ใด ประกอบด้วย จังหวัดสุพรรณบุรี อำเภอเมืองสุพรรณบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1, จังหวัดตรัง อำเภอเมืองตรัง เขตเลือกตั้งที่ 2 และจังหวัดชุมพร อำเภอสวี เขตเลือกตั้งที่ 4 และมีอีก 1 เขตที่ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากผู้สมัครถูกตัดสิทธิไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง คือจังหวัดชัยนาท อำเภอวัดสิงห์ เขตเลือกตั้งที่ 1 ดังนั้นทั้ง 4 จังหวัดนี้ต้องเลือตั้งใหม่ โดยผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด จะต้องประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ ภายใน 7 วันนับแต่วันเลือกตั้ง และดำเนินการรับสมัครใหม่ในเขตเลือกตั้ง และกำหนดวันเลือกตั้งไม่เกิน 45 วันนับแต่วันที่ประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่
นอกจากนี้ ยังพบว่า มี 4-5 จังหวัดที่พบจำนวนบัตรกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์จำนวนไม่ตรงกัน ซึ่งตรงนี้ทางจังหวัดต้องพิจารณาและเสนอมาที่ กกต.ว่าสมควรจะให้มีนับคะแนนใหม่ หรือลงคะแนนเลือกตั้งใหม่
ขณะที่พรรคประชาชนจะเสนอให้มีการนับคะแนนใหม่ เลือกนายก อบจ.ที่จังหวัดเชียงใหม่ และสมุทรปราการ เนื่องจากเห็นว่ามีจำนวนบัตรเสียจำนวนมากนั้น นายแสวง กล่าวว่า เรื่องการนับคะแนนใหม่นั้น มีหลักเกณฑ์อยู่ เช่น ระหว่างการนับคะแนนมีการทักท้วงและมีการทำบันทึกไว้หรือไม่ ซึ่งต้องไปพิจารณาว่าเข้าหลักเกณฑ์นั้นหรือไม่
ส่วนเรื่องทุจริตการเลือกตั้ง ทั้งที่ปรากฏทางสื่อช่องทางต่างๆ นั้น อยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน และล่าสุดจำนวนเรื่องร้องเรียนมี 180 เรื่อง