“3 รัฐมนตรี” ลุยสระแก้ว!! เกาะติดชายแดนไทย-กัมพูชา ล็อกเป้าตึก 25 ชั้นฝั่งปอยเปต เล็งตัดสัญญาณเน็ต-โทรศัพท์ ด้าน “เมียนมา” ขอส่งตัว 53 เหยื่อต่างชาติให้ไทยวันนี้ “บิ๊กอ้วน” ยันไม่ตั้งศูนย์อพยพ สอบเสร็จพร้อมส่งกลับประเทศ แจงออกหมายจับผู้นำ BGF “หม่อง ชิตตู่” เข้าแดนไทยพร้อมรวบทันที สั่งเด้งเพิ่ม “บิ๊กสีกากี” โยงแก๊งคอลฯ “ผู้กำกับ-ผู้การ” โดนฟันไม่เว้น
วันนี้ (12 ก.พ.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พร้อมด้วยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ,นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ลงพื้นที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อติดตามสถานการณ์ตามแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา และแนวทางปฏิบัติในการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์รวมถึงอาชญากรรมข้ามชาติ
โดยนายภูมิธรรม ระบุว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นไว้เกือบทั้งหมดแล้ว อย่างเช่นรายงานข่าวเรื่อง “ตึก 25 ชั้น” ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ปล่อยปะละเลย วันนี้จะลงพื้นที่ไปดูด้วยตัวเอง เพื่อรับทราบรายละเอียดหน้างานก่อนที่จะจะมีการลงคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนการตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ดำเนินการตรวจสอบอยู่แล้ว และทราบว่าในพื้นที่มีโอเปอร์เรเตอร์ผู้ให้สัญญาณโทรศัพท์ 3 ราย ก็ได้เรียกมาพูดคุยกันแล้ว
“เมียนมา” ดูแลไม่ไหว! ส่งตัวเหยื่อแก๊งคอลฯ 53 คนให้ไทย
ขณะเดียวกัน ในวันนี้ทางการเมียนมา ได้ประสานขอส่งตัวผู้ที่ถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 53 คน จาก 8 ประเทศ อาทิ เอธิโอเปีย ฟิลิปปินส์ บังกลาเทศ เคนยา โดยได้รับการติดต่อเข้ามา เนื่องจากเมียนมาดูแลไม่ไหว การทำงานเขาลดประสิทธิภาพลง หรือปิดลง จึงปล่อยตัวออกมา ขณะเดียวกันเราได้มีการประสานงานภายในกับเมียนมาว่า “หากต้องการลดความกดดันลงในเรื่องการตัดน้ำมัน ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต จะต้องทำให้เราเห็นว่าประเทศเขาปลอดภัย”
ดังนั้นเขาเองต้องจัดการดำเนินการตามแรงกดดัน ตรงนี้เราก็มาถูกทางแล้ว การที่มาขู่เราว่าจะตัดเส้นทางไม่ให้สินค้าเข้า ไม่ใช่ปัญหาของเรา เป็นปัญหาของเขา อันนั้นขู่เราไม่ได้
รองนายกฯ ภูมิธรรม ย้ำว่า ประเทศไทยจะไม่มีการตั้งศูนย์อพยพแรงงานที่ถูกปล่อยตัว เมื่อรับตัวกลับมาแล้วก็ประสานสถานทูตของแต่ละประเทศมารับตัวและดำเนินการส่งกลับทันที โดยมีเงื่อนไขของการรับตัวคือ ต้องมีประเทศรองรับชัดเจนสามารถยืนยันตัวตนได้, เข้ากระบวนการตรวจสอบ ถูกหลอกหลวงไปทำหรือไม่ โดยจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน ก็ส่งกลับได้
ส่วนการผลักดันออกจากฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังประเมินได้ยาก เพราะไม่รู้ว่าฝั่งตรงข้ามได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน แต่ยืนยันว่ารัฐบาลได้กำชับฝ่ายความมั่นคงวางกำลังรักษา ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
“หม่อง ชิต ตู่” เข้าไทยรวบทันที
ขณะที่ความคืบหน้าการเตรียมออกหมายจับ พันเอก “ซอ ชิต ธู” หรือ “หม่อง ชิต ตู่” ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่แน่ใจว่าหมายจับออกแล้วหรือไม่ แต่ได้รับการติดต่อประสานมาเพื่อขอหลักฐานในการออกหมายจับ โดยขอให้เป็นไปตามกระบวนการ
“เมื่อออกหมายจับแล้ว คงไปจับในประเทศเขาไม่ได้ เพราะถือเป็นอธิปไตย แต่ถ้าออกหมายจับแล้ว มีการขยับเข้ามาพื้นที่ของไทย ก็สามารถจับได้เลย ซึ่งหากมีการออกหมายจับ ก็จะไปเฝ้าดูที่พักที่มีข่าวว่าอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ”
เด้งเพิ่ม “บิ๊กสีกากี” โยงแก๊งคอลฯ
ส่วนจะมีคำสั่งย้ายนายตำรวจที่เข้าไปพัวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพิ่มเติมจากตำรวจ 2 นายก่อนหน้านี้หรือไม่นั้น นายภูมิธรรม ระบุว่า ขณะนี้มีคำสั่ง 5-6 ตำแหน่ง คือผู้กำกับ 3 สถานี ซึ่งเป็นพื้นที่ตามรายงานข่าว คือ สภ.แม่สอด, สภ.แม่ระมาด และ สภ.พบพระ โดยให้ขาดจากการปฏิบัติงานในหน้าที่เดิม ให้ย้ายไปกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ส่วนอีก 2 รายนั้นเป็นผู้การจังหวัด และ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ได้สั่งย้ายมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ตำรวจทำงานสะดวกและปลอดภัยขึ้น และทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความโปร่งใสชัดเจน
“ทั้งหมดไม่สามารถสั่งการในพื้นที่ได้ แต่ยังไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดมีความผิด เพียงต้องดำเนินการจัดการข้อที่ถูกกล่าวหาในการสอบสวนขั้นต้น เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องในพื้นที่ ที่อาจจะเป็นการละเลย หรือเรื่องอะไรต่างๆ ซึ่งทางตำรวจได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว หากพบว่ามีข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจน ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย
โดยระบุว่า การดำเนินการนี้ ถือว่าอยู่ในกระบวนการ “ซีล สต๊อป เซฟ” (SEAL STOP SAFE) ใน 51 อำเภอ 14 จังหวัด ที่หากพบว่ามีปัญหาขึ้นภายในจังหวัด และผู้การจังหวัดต้องรับผิดชอบ ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับท้องที่ใน 76 สถานีก็จะดำเนินการแนวทางนี้ แต่ขึ้นอยู่กับสภาพและข้อเท็จจริง ต้องให้เป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติด้วย ไม่เช่นนั้นจะทำให้เสียกำลังใจ
“แต่ถ้าเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาเยอะ ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว ก็จะเอาออกจากพื้นที่ก่อน ซึ่งการเกี่ยวข้อง อาจไม่เกี่ยวโยงผลประโยชน์ อาจปฏิบัติหน้าที่บกพร่องทำให้เกิดปัญหามาก และตามเงื่อนไขที่คุยในเรื่องซีลชายแดน 3 ส่วน ถ้าไม่ชัดเจนว่าจะทำไหวก็ให้แจ้งมา แต่ถ้ายืนยันว่าทำไหว ก็ต้องทำให้เกิดผล เพราะกระบวนการนี้มีทั้งคุณและโทษ ไม่ได้มุ่งหมายว่าเจ้าหน้าที่จะเป็นฝ่ายผิด แต่ต้องรับผิดชอบในพื้นที่ที่ดำเนินการอยู่” นายภูมิธรรม ระบุ