จับตา! ฉากสุดท้ายมหากาพย์ “จำนำข้าว” ลุ้นบ่ายพรุ่งนี้ ศาลปกครองสูงสุดนัดชี้ชะตา “ยิ่งลักษณ์” ต้องเรียกชดใช้เงิน 3.5 หมื่นล้าน “คดีทุจริตจำนำข้าว” หรือไม่ ชี้ยังเหลือชนักติดหลังอาญา โทษจำคุก 5 ปี คดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหาย พร้อมเปิดสูตรคิดค่าเสียหาย “ต้นทาง” คำสั่งหัวหน้า คสช. “มาตรา 44” สู่กลไกเรียกเงินคืน เผยศาลฎีกาฯ ยังชี้ “ปู” ไร้ผิดในภาพรวมโครงการ แต่ผิดเฉะพาะกรณี “ละเว้นให้เกิดการทุจริต” ในปีการผลิต 54/55 หลังศาลสั่งฟัน “บุญทรง-ภูมิ” 2 รมต.พาณิชย์ เรียกชดใช้เงิน 20% ของมูลค่าความเสียหายไปแล้ว แง้มคำสั่ง “ศาลปกครองกลาง” ส่อทำ “ปู” พ้นบ่วงคดีแพ่ง เหตุมีการ “เหมารวมค่าเสียหาย” จากปีที่ไม่มีการระบายข้าว
กำลังเดินมาถึงโค้งสุดท้ายแห่งคดีประวัติศาสตร์โครงการ “รับจำนำข้าว” ที่ล่าสุดวันพรุ่งนี้ (22 พ.ค.68) เวลา 13.30 น. ศาลปกครองสูงสุดนัดชี้ชะตา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดียื่นฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่เรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 35,717,273,028 บาท กรณีปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการ
โดยอดีตนายกฯ “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้ร้องต่อศาลว่า คำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อ้างว่า “ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม” ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ว่าจงใจปล่อยให้เกิดการทุจริต และไม่ยับยั้งความเสียหายในโครงการจำนำข้าว จนนำไปสู่การเรียกชดใช้ความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท
ก่อนที่ศาลปกครองกลางจะมีคำพิพากษา “เพิกถอน” คำสั่งของกระทรวงการคลังดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2564 รวมถึง “ยกเลิก” การยึด หรืออายัดทรัพย์สินของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และผู้ร่วมฟ้องอีกคนหนึ่ง โดยศาลให้เหตุผลว่า ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า “ยิ่งลักษณ์” เป็นผู้สั่งการให้เกิดความเสียหายโดยตรง หรือมีเจตนาทุจริต อีกทั้งกระบวนการชี้ขาดสัดส่วนความรับผิดร้อยละ 20 ของความเสียหายก็ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ศาลเห็นว่า มีบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคนในมูลละเมิดกรณีโครงการรับจำนำข้าว ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ที่จะต้องดำเนินการสอบสวนหาตัวผู้รับผิด และจำนวนค่าสินไหมทดแทน ที่มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องอีกหลายคนต้องชดใช้ เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่อื่นที่มีส่วนต้องรับผิด ในมูลละเมิดเดียวกันกับผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดตามสัดส่วนเฉพาะในส่วนของตน แล้วจึงนำจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ต้องรับผิด มากำหนดสัดส่วนความรับผิดของแต่ละคน มิใช่พิจารณาเพียงเสนอความเห็นว่า “ผู้ฟ้องคดีที่ 1” ผู้เดียวเป็นผู้กระทำ โดยจงใจปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินไปยังศาลปกครองสูงสุดให้เป็นผู้ชี้ขาด ว่าจะยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือ “กลับคำตัดสิน” เนื่องจากมีความหมายไปถึงการเดินทาง “กลับบ้าน” ของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์
สำหรับมหากาพย์ทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในยุค “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” นั้น มี 2 ประเด็นด้วยกัน คือ
1.คดีที่เกี่ยวกับนโยบายจำนำข้าว ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกดำเนินคดีใน 2 ส่วนคือ “คดีอาญา” ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 5 ปี ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว
ส่วน “คดีทางปกครอง” หรือ “ทางแพ่ง” นั้น ทางกระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ชดใช้ความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท พร้อมกับออกคำสั่งอายัดทรัพย์ ซึ่งมีการอายัดทรัพย์สินไปแล้วบางส่วนก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี ในส่วนของฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดี ได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลปกครองสูงสุดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 พ.ค.2568
2.คดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายจำนำข้าว โดยมีผู้ถูกกล่าวหา 2 ราย คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ทั้งนี้ ในส่วน “คดีอาญา” บุคคลทั้งสอง ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาจำคุกไปแล้ว 42 ปี และ 36 ปีตามลำดับ ต่อมาทั้งสองได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเรื่อยมา กระทั่งได้รับการพักโทษเมื่อปี 2567-2568 ที่ผ่านมา
ส่วน “คดีทางแพ่ง” ทั้งสองคน ถูกฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ชดใช้ความเสียหายในโครงการนี้เช่นกัน รวมวงเงินราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งศาลปกครองกลาง (ชั้นต้น) พิพากษาให้ “บุญทรง-ภูมิ” ร่วมกับอดีตข้าราชการระดับสูง ชดใช้ความเสียหายไปแล้ว โดยให้รับผิดในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหายในแต่ละสัญญา เมื่อปี 2564 แต่ปัจจุบันมีการยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด
ดังนั้น ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ คือการชี้ชะตาว่าอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะต้องชดใช้ค่าความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวราว 3.5 หมื่นล้านบาท ตามคำสั่งของกระทรวงการคลังหรือไม่
อย่างไรก็ดี แม้ว่าถึงที่สุดหากคำพิพากษา “เป็นคุณ” กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ก็ไม่สามารถลบล้างโทษทางอาญา ที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาสั่งลงโทษจำคุก 5 ปี อีกทั้งตามกฎหมายใหม่ของ ป.ป.ช. และศาลฎีกาฯ โทษทางอาญานี้ไม่มีอายุความ

เปิดสูตรคิดค่าเสียหาย จากคำสั่ง ‘ม.44’ สู่กลไกเรียกเงินคืน
ต้นทางของการดำเนินคดีนี้ย้อนกลับไปเมื่อ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 39/2558 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2558 เพื่อแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งครอบคลุมปีการผลิตตั้งแต่ 2548/2549 ถึง 2556/2557
คำสั่งดังกล่าวให้อำนาจคณะกรรมการในการตรวจสอบและดำเนินการเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงยิ่งลักษณ์ และยังระบุว่า การดำเนินการของคณะกรรมการฯ ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และ ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 44 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ด้วยอำนาจตามคำสั่งนี้ คณะกรรมการฯ ได้กำหนดสูตรคำนวณค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวในแต่ละปีการผลิต โดยใช้วิธี
มูลค่าการรับจำนำข้าว – ความคุ้มค่าและประโยชน์ต่อเกษตรกร – มูลค่าที่ได้จากการระบายข้าว = ค่าเสียหายสุทธิ
ต่อมาจึงมีคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ให้ยิ่งลักษณ์รับผิดเฉพาะในปีการผลิต 2555/56 และ 2556/57 โดยไม่รวมปี 2554/55 และปี 2555 เนื่องจากเธอเพิ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยังไม่ปรากฏพฤติการณ์ประมาทร้ายแรงที่จะต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539

ปมคำนวณค่าเสียหายจากปีที่ไม่มีการระบายข้าว
ปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ ปีการผลิต 2555/56 และ 2556/57 ไม่มีการระบายข้าว ทำให้ไม่มีข้อมูลสำคัญในการคำนวณค่าเสียหายตามสูตรนี้ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 211/2560 ยังวินิจฉัยว่า ยิ่งลักษณ์ไม่มีความผิดในภาพรวมของโครงการ แต่มีความผิดเฉพาะในกรณี ละเว้นให้เกิดการทุจริตในการระบายข้าวในปี 2554/55 และปี 2555 เท่านั้น
แต่หากศาลปกครองสูงสุดจะนำเอาคำพิพากษาในคดีอาญา ที่ตัดสินว่ามีการ ‘ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ’ ปล่อยให้บุญทรง กับพวกทุจริตในการระบายข้าวในปีการผลิต 2554/2555 และ ปี 2555 มาเป็นฐานในการคิดค่าเสียหาย ก็อาจเกิดคำถามว่าว่าจะเป็นการขัดหลักการของกฎหมายที่ว่าศาลจะไม่พิพากษาเกินคำขอ หรือไม่
ในคดีนี้ที่มีประเด็นพิจารณาค่าเสียหายเฉพาะปีการผลิต 2555/56 และ 2556/57 ที่ไม่มีส่วนของการระบายข้าว ที่สำคัญในคำฟ้องก็มิได้ปรากฏ ข้อเท็จจริงหรือคำสั่ง ที่จะต้องให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเกี่ยวกับค่าเสียหายในส่วนของปี 2554/2555 และ ปี 2555

คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นชี้คำสั่งคลังไม่ชอบ-หลักฐานไม่ชัด
ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหม รวมถึงเพิกถอนการยึดและอายัดทรัพย์ โดยให้เหตุผลว่า
“ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ายิ่งลักษณ์เป็นผู้สั่งการให้เกิดความเสียหาย หรือมีส่วนร่วมโดยตรง”
การกำหนดสัดส่วนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับผิดร้อยละ 20 ของมูลค่าความเสียหาย ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง
โครงการดำเนินงานในรูปแบบคณะกรรมการ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ แม้จะเป็นประธาน ก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเพียงลำพัง
ศาลยังระบุด้วยว่า การที่หน่วยงานรัฐนำประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจมาใช้ประกอบคำสั่งเรียกค่าเสียหาย ไม่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้ และคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการก็ไม่มีอำนาจประเมิน ‘ความคุ้มค่าของนโยบาย’ โดยดูเพียงผลขาดทุนจากบัญชีการเงิน
ฝ่ายผู้ถูกฟ้องทั้ง 9 คน ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด โดยหวังพลิกคำตัดสิน ซึ่งการอ่านคำพิพากษาในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ จะเป็นจุดสิ้นสุดของกระบวนการในศาลปกครอง และอาจกลายเป็น “คดีตัวอย่าง” ในเรื่องขอบเขตความรับผิดของเจ้าหน้าที่รัฐในโครงการนโยบายของรัฐบาล