ปะทะเดือดชายแดนช่องบก “กัมพูชา” เหิม! เปิดฉากยิงก่อน ยันทหารไทยจำเป็นยิงตอบโต้ป้องกันอธิปไตย ไร้กำลังพลบาดเจ็บ สั่งตรึงจุดปะทะ “เตีย เซ็ยฮา” เต้นผาง! ส่งคนสนิทโทรสายตรง “ผบ.สุรนารี-บิ๊กเล็ก” เจรจาหยุดยิง “แม่ทัพภาค 2” ปูด “เขมร” ลอบขุดคูเลตในพื้นที่อ้างสิทธิ์ แจงทหารไทยเข้าเจรจา แต่โดนยิงสวน ฮึ่ม! อย่าล้ำเส้น ลั่นทุกฝ่ายยึด “เอ็มโอยู43” “กลาโหมกัมพูชา” รับทหารเขมรตายจริง โบ้ยไทยยิงก่อน “บิ๊กอ้วน” โยน “ผบ.ทบ.” 2 ฝ่ายเคลียร์ชนวน “ช่องบก” 31 พ.ค.นี้ ขออย่ามองขยิบตาให้กัน หวั่นจะยิงกันอีก ลั่นไทยไม่ได้กลัว-ไม่อ่อนแอ แต่สงครามไม่เป็นผลดีกับใคร
เช้าวันนี้ (28 พ.ค.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่าได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารีเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเวลา 05.30 น.
โดยหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชาได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ต่อมา พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับพันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติ โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงหยุดยิง ในเวลา 05.55 น. และตรึงกำลังบริเวณจุดปะทะ
ปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อจัดการกรณีอ้างสิทธิในพื้นที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติอย่างสันติ ตามข้อตกลงร่วมกันในการ “รักษาสถานภาพเดิม” (Status Quo) เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดน โดยกำหนดให้ไม่มีการดำเนินการที่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในพื้นที่ เช่น การสร้างสิ่งปลูกสร้าง การเคลื่อนย้ายกำลังพล หรือการขุดหลุมโดยมิได้แจ้งล่วงหน้า
ทั้งนี้ มีรายงานว่ากำลังพลฝ่ายไทยปลอดภัย ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต และสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิด ซึ่งทางกองทัพบกยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี และให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ พร้อมประสานความร่วมมือกับทางกัมพูชาในทุกระดับ เพื่อรักษาเสถียรภาพชายแดนและความสงบสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไร ในเบื้องต้นพบว่ากำลังทั้งสองฝ่ายเข้าไปในพื้นที่อ้างสิทธิ ซึ่งประกอบกับเป็นเวลาที่มืด จึงเกิดการประทะกันโดยบังเอิญ พร้อมย้ำว่า “ไม่ได้ตั้งใจที่จะขึ้นไปรบกัน”
ขณะนี้แม่ทัพภาคที่ 2 กำลังประชุม ตนขอรอรับฟังรายละเอียดอีกครั้งก่อน โดยนายทหารคนสนิทของรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมของประเทศกัมพูชา ได้โทรศัพท์มาหา พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ซึ่งได้ยืนยันสั่งการให้ทหารทั้ง 2 ฝ่ายถอยกำลังออกไป แต่ว่าขณะนี้ยังคงตรึงกำลังอยู่
เมื่อถามว่าเหตุใดจึงเกิดเหตุปะทะบ่อยครั้งตามแนวชายแดน รมว.กลาโหม กล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากที่ประเทศกัมพูชาตรึงกำลัง และมีการปรับกำลังในพื้นที่
“เราก็ทำหน้าที่ตรึงกำลังตามแนวชายแดน เมื่อมีการตรึงกำลังก็อาจจะมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่สามารถพูดคุยกันได้ ในระดับบนไม่มีปัญหาอะไร แต่เชื่อว่าเมื่อระดับปฏิบัติการพูดคุยกันสถานการณ์น่าจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น”
ส่วนหลังจากนี้จะมีการปรับยุทธศาสตร์หรือไม่ รมว.กลาโหม ยอมรับว่า ปัจจุบันพื้นที่มีการปรับเปลี่ยน จึงต้องหารือกันเรื่อยๆ แต่แนวโน้มการพูดคุยส่วนใหญ่คือการพยายามรักษาสันติภาพ ไม่อยากให้เกิดเหตุรุนแรง ทำให้เกิดความสูญเสียและความเสียหาย
ส่วนรัฐบาลจะให้ความมั่นใจกับประชาชนได้อย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขอรอฟังความชัดเจนจากเหตุการณ์ก่อน เพราะเรื่องนี้หากพูดไปโดยไม่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง อาจจะคลาดเคลื่อนและก่อให้เกิดความไม่เข้าใจกัน

ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยถึงเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนช่องบก เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ว่า กำลังพลของกองกำลังสุรนารีได้ลาดตระเวนและพบว่า ทหารกัมพูชาขุดคูเลตเช่นเดียวกับเนิน 745 ช่องบก ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยก่อนจะเกิดเหตุปะทะกัน ทหารไทยได้เข้าไปเจรจา แต่ทางกัมพูชายิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกันอย่างที่เป็นข่าว สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อจากนี้ ผู้บังคับบัญชาในระดับพื้นที่กำลังพูดคุยเจรจา
“ยืนยันว่าทหารไทยทำหน้าที่รักษาอธิปไตยตามแผนที่ 1:50,000 ซึ่งในพื้นที่ทับซ้อนของทั้ง 2 ประเทศ จะมีการออกลาดตระเวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายล้ำเข้ามา ซึ่งทุกฝ่ายต้องยึดตามเอ็มโอยู 2543” แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุการณ์บริเวณช่องบก ทหารไทยพบทหารกัมพูชาลอบขุดคูเลต จากจุดต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว ระยะทาง 650 เมตร ซึ่งเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ โดยก่อนจะเกิดเหตุปะทะกัน ทหารไทยได้เข้าไปเจรจา เพราะเป็นการละเมิด MOU2543 เป็นครั้งที่ 2 แต่ทางทหารกัมพูชากลับยิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกัน โดยช่วงนี้อยู่ระหว่างการเจรจาของผู้นำในพื้นที่ทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายทหารไทยยืนยันว่าให้ทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่อ้างสิทธิพร้อมกัน

ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ที่กองทัพเรือ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพยายามให้เหตุการณ์ยุติ พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. สั่งการให้ใช้ความอดทนอดกลั้น อย่าให้บานปลาย ให้เจรจาคุยกันก่อนในทุกระดับ โดย ผบ.ทบ. จะพูดคุยกับ พลเอก เมา โซะพัน ผบ.ทบ.กัมพูชา ในวันเสาร์ที่ 31 พ.ค. ขณะที่ตนได้พูดคุยกับ พลเอก เตีย เซ็ยฮา รมว.กลาโหมกัมพูชา และ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม พูดคุยกับฝ่ายเสนาธิการของ รมว.กลาโหมกัมพูชา เป็นการใช้ทุกช่องทางพูดคุยกัน ทางฝ่ายกัมพูชาใส่ใจและสนใจในเรื่องนี้
“ผมได้คุยกับ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา เขายืนยันว่าไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงหรือการรบกัน เพราะไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย และ พล.อ.ฮุน มาเนต ได้คุยกับ ผบ.ทบ.กัมพูชา ข้อสรุปเบื้องต้นในขณะนี้ อย่าให้ทุกคนเข้าไปจนเกิดการปะทะกันขึ้น หรือเกิดการยั่วยุขึ้น ทุกคนต้องหยุด และกลับไปอยู่ในจุดเดิม ซึ่งเมื่อฟังข้อมูลทั้ง 2 ฝ่าย ระดับนโยบายที่อยู่ข้างบนอาจไม่เข้าใจรายละเอียดในพื้นที่ ดึงนั้นจึงมีข้อสรุปตรงกัน โดยให้ ผบ.ทบ. 2 ฝ่ายไปพูดคุยกัน ในวันเสาร์นี้ (31 พ.ค.) ส่วนในเรื่องพื้นที่จะเป็นของใคร ยังไม่มีการพูดถึง เพื่อรอให้อารมณ์ของทุกฝ่ายนิ่งก่อน ถ้าเถียงว่าเป็นของใครก็จะหาข้อยุติยาก เพื่อให้หลีกเลี่ยงการปะทะกัน และไปคุยในรายละเอียด” นายภูมิธรรม กล่าว
ส่วนกรณีที่มีการมองว่าฝ่ายกัมพูชาขยิบตาให้ระดับพื้นที่ดำเนินการนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า อย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะถ้าคิดว่าขยิบตา เดี๋ยวก็จะยิงกัน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการยิงกันโดยอาวุธเล็ก เป็นการเกิดอุบัติเหตุกันตอนมืด
เมื่อถามย้ำว่าแต่ช่วงเวลาปะทะกินเวลา 10 นาที นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่อาจจะตอบได้ว่าเกิดอะไร ทุกอย่างอยู่ที่ความเป็นจริง อย่าไปจินตนาการ