นายกฯ ชี้สถานการณ์ชายแดน “ไทย-กัมพูชา” ระดับผู้นำคุยกันรู้เรื่อง แจงปม “ฮุนเซน-ฮุนมาเนต” โพสต์ท่าทีแข็งกร้าว เป็นจุดยืนปกป้องอธิปไตยประเทศตัวเอง ย้ำสองฝ่ายไม่อยากให้เกิดความรุนแรง มั่นใจคลี่คลายได้ กร้าวหากแรงขึ้นต้องเสริมกำลัง พร้อมขอประชาชนเชื่อมั่น เปิดผลหารือ “ผบ.ทบ.ไทย-กัมพูชา” เคลียร์เหตุปะทะ! ได้ข้อยุติ 3 ข้อ ใช้ช่องทาง “เจบีซี” แก้ปัญหา-ลดเผชิญหน้า-รักษาสัมพันธ์ “มทภ.2” แจงปมช่องบก สรุปถอยออกพื้นที่ทับซ้อนฝ่ายละ 200 เมตร ขณะที่ “ฮุนเซน” ลั่นไม่อยากเปิดศึก แต่หนุนรัฐบาลเขมรส่งทหาร-อาวุธหนัก ป้องกันชายแดน แถมกุข่าว! ไทยฝ่ายรุกราน
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงท่าทีของสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และ “ฮุน มาแนต” นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา ที่เหมือนจะแข็งกร้าวต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า จริงๆ แล้วเท่าที่อ่านการโพสต์ของสมเด็จฮุนเซนก็จะเห็นว่า สุดท้ายเขาก็ไม่อยากให้มีการปะทะกันเกิดขึ้น แน่นอนว่าผู้นำของแต่ละประเทศก็แสดงจุดยืนของประเทศตัวเองเพื่อปกป้องประเทศ
แต่จากการพูดคุยกันตั้งแต่เมื่อคืนนี้ (28 พ.ค.) ผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองฝ่ายจะไปพูดคุยกันให้เป็นทางการยิ่งขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจน ซึ่งตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรงอะไรเกิดขึ้น เพราะสามารถตกลงกันได้ว่าทั้งสองฝ่ายต้องการให้เกิดความสงบ จึงมีการถอยกำลังทั้งคู่ ทุกคนเห็นด้วยว่าไม่อยากให้เกิดการรุนแรงอยู่แล้วในพื้นที่ตรงนั้นที่มีปัญหา วันนี้ ผบ.ทบ.ทั้งสองฝ่ายก็จะเคลียร์กันให้เรียบร้อย ก่อนย้ำว่า ให้มั่นใจว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

โดยนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ระดับผู้นำพูดคุยกันเรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไร แต่เพื่อให้เป็นทางการจึงได้ส่ง ผบ.ทบ.ของทั้งสองประเทศไปพูดคุยกัน ดูในรายละเอียดว่ามีอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ที่จะสนับสนุนกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องคุยกันต่อ ต้องรอรายละเอียดหลังการพูดคุยกัน
เมื่อถามว่า ความเข้าใจผิดเกิดจากปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิ์ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ขอให้รอรายละเอียดจากการพูดคุยกันระหว่าง ผบ.ทบ.ทั้งสองฝ่ายในช่วงบ่ายวันนี้ก่อน เพราะหากพูดอะไรก่อน อาจเป็นปัญหา เพราะค่อนข้างอ่อนไหว แต่ในระดับผู้นำที่คุยกันไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่ามีการรายงานว่าทางกัมพูชาได้มีการเสริมกำลังประชิดแนวชายแดน น.ส.แพทองธาร ถึงกับอุทาน “อุ้ย” พร้อมกล่าวว่า เป็นหลักเกณฑ์ตามปกติของแต่ละประเทศอยู่แล้ว ถ้ามีเรื่องที่หนักขึ้นหรือต่อสู้กันมากขึ้น ก็ต้องมีการเสริมกำลังอยู่แล้ว ไม่มีใครปล่อยให้เกิดเรื่อง รวมถึงประเทศไทยด้วยหากเกิดเรื่องที่รุนแรงก็ต้องเสริมกำลัง แต่หากไม่มีเราก็พร้อมจบ เพื่อให้เกิดความสงบและปกป้องคนของเราด้วย
โดยนายกรัฐมนตรียังส่งกำลังใจให้ทหารที่ดูแลพื้นที่ชายแดน พร้อมระบุว่า เราไม่อยากให้เกิดปัญหาระหว่างชายแดน ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม ซึ่ง ผบ.ทบ.ก็จะลงพื้นที่ไปอยู่แล้ว เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายและเกิดความเข้าใจมากขึ้นทั้งสองฝ่าย ก็ขอให้ใจเย็นลงสักนิด แล้วไปคุยกันว่ามีอะไรที่ตกลงกันได้ ก็ขอให้คุยกันด้วยสันติภาพ
ส่วนจะสร้างความมั่นใจให้ประชาชนตามแนวชายแดนได้อย่างไรนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไร อยากให้คนในพื้นที่เข้าใจว่าเกิดอะไร ที่สื่อถามก็ขอบคุณที่ช่วยกันสื่อสาร เพราะให้ประชาชนได้ทราบถึงสถานการณ์ แต่ที่คุยกันทั้งสองฝ่ายไม่มีปัญหาอะไร

‘ผบ.ทบ.ไทย-กัมพูชา’ เคลียร์ปมช่องบก ได้ข้อยุติ 3 ข้อ
ในวันเดียวกันนี้ เวลา 15.00 น. ที่หน่วยประสานงานประจำพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 สำนักงานประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่สอง พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางไปยังช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ พบกับ พล.อ.เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา
เมื่อถึงเวลานัดหมาย พล.อ.พนา ได้เดินไปบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อรับผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา เพื่อพูดคุยแก้ไขปัญหาหลังเกิด ทหารไทย-กัมพูชา ปะทะกันที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อเวลา 05.45 น. วานนี้ (28 พ.ค.) โดยมีฝ่ายยุทธการและฝ่ายเสนาธิการกองทัพสองประเทศร่วมประชุมพร้อมเพรียง
สำหรับการประชุมใช้เวลา 1.20 ชั่วโมง มีข้อสรุปร่วมกันดังนี้
1. ให้ทั้งสองฝ่ายการแก้ไขปัญหาเป็นครั้งนี้ผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะจัดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์
2. ให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในจุดที่เหมาะสม ลดการเผชิญหน้า
3. ให้รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ให้ใช้ความอดทนอดกลั้น
‘ฮุนเซน’ ลั่นไม่อยากเปิดศึก แต่หนุน รบ.ส่งทหาร-อาวุธหนัก ป้องกันชายแดน
อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนวานที่ผ่านมา “สมเด็จฯ ฮุนเซน” ประธานองคมนตรีกัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์โจมตีของกองทัพฝ่ายรุกราน ชายแดนแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา ไม่ควรมีสิ่งแบบนี้เกิดขึ้น และฉันขอประณามอย่างรุนแรงต่อบุคคล องค์กร หรือกลุ่มใดๆ ที่ตัดสินใจก่อเหตุรุกรานเช่นนี้ ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์รุกรานที่ปราสาทพระวิหารในปี 2551 ถึง 2554
“ไม่อยากเห็นการสู้รบเกิดขึ้น แต่สนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลในการส่งทหารและอาวุธหนักไปที่ชายแดนเพื่อเตรียมพร้อมป้องกันตัวเองในกรณีที่เกิดการรุกรานเพิ่มเติม หวังว่าการเจรจาระหว่างผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นดินของทั้งสองประเทศที่จะจัดขึ้นพรุ่งนี้จะประสบผลดี หวังว่าจะไม่มีความตึงเครียดตามแนวชายแดนระหว่างสองประเทศจนถึงขั้นขัดขวางความร่วมมือในพื้นที่อื่นๆ ที่เป็นผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ”
ทั้งนี้ ขอวิงวอนเพื่อนร่วมชาติของฉันว่าอย่าให้ความขัดแย้งนี้ลุกลามไปสู่ความเกลียดชังทางชาติพันธุ์ และขอให้ไว้วางใจในการแก้ไขความขัดแย้งโดยรัฐบาลและกองทัพของทั้งสองประเทศ เราเกลียดสงคราม แต่เราถูกบังคับให้ทำสงครามเพื่อต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติ เหมือนที่ทำในช่วงปี 2551 ถึง 2554 โดยใช้อาวุธ 3 อย่าง ได้แก่ อาวุธทางทหาร อาวุธทางการทูต และอาวุธทางกฎหมาย