ศาลการค้าสหรัฐฯ สั่งระงับภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บทั่วโลก ชี้ ปธน.ใช้อำนาจเกินขอบเขต เผยรัฐธรรมนูญให้อำนาจพิเศษ “สภาคองเกรส” ควบคุมดูแลการค้าระหว่างประเทศ อำนาจนี้ไม่ถูกลบล้างโดยคำสั่งฉุกเฉินของ ปธน. ขณะที่ “รัฐบาลทรัมป์” เตรียมยื่นอุทธรณ์ทันที “แพทองธาร” ระบุเป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ ยืนยันไม่ล่าช้าอยู่ในกรอบ 90 วัน ย้ำมีสัญญาณบวกต่อไทย พร้อมเดินหน้าเจรจาภาษีต่อ ด้านตลาดหุ้นทั่วโลก สหรัฐฯ-เอเชีย-ยุโรปพุ่ง ปรับตัวขึ้นรับอานิสงส์ “คว่ำกำแพงภาษี” หนุนดอลลาร์แข็งค่า ทำราคาทองคำร่วง 0.6%
ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US Court of International Trade) สั่งระงับการขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศที่ส่งออกสินค้ามายังสหรัฐของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มจากประเทศที่มีการส่งออกมายังสหรัฐฯ มากกว่าปริมาณสินค้าที่ซื้อจากสหรัฐฯ โดยระบุว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต
ศาลระบุว่า รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ให้อำนาจพิเศษแก่สภาคองเกรสในการควบคุมดูแลการค้ากับประเทศอื่นๆ ซึ่งไม่ถูกลบล้างโดยอำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดี แม้จะอ้างว่าเป็นสถานการณ์เพื่อการปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
“ศาลไม่อาจตัดสินถึงความเหมาะสมหรือประสิทธิภาพที่เป็นไปได้ในการที่ประธานาธิบดีใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือต่อรอง แต่การใช้อำนาจนั้นไม่สามารถทำได้ ไม่ใช่เพราะไม่เหมาะสมหรือไม่เกิดผล แต่ประเด็นคือกฎหมายของรัฐบาลกลางไม่ได้ให้อำนาจที่จะทำเช่นนั้น” คำพิพากษาขององค์คณะผู้พิพากษา 3 ท่านระบุ
หลังศาลอ่านคำพิพากษาไม่นาน “รัฐบาลทรัมป์” ได้ยื่นอุทธรณ์ และตั้งคำถามถึงอำนาจของศาลในการตัดสินคดีนี้ โดยศาลการค้าระหว่างประเทศซึ่งตั้งอยู่ในแมนฮัตตัน เป็นศาลที่พิจารณาคดีเกี่ยวกับกฎหมายการค้าและภาษีศุลกากรระหว่างประเทศ โดยสามารถอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์กลาง และสุดท้ายคือศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ต่อไป
นโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นแกนนโยบายหลักในสงครามการค้าของทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและสร้างความปั่วป่วนในตลาดหุ้นและตลาดการเงินอย่างมาก ทั้งยังส่งผลกระทบกับธุรกิจจำนวนมาก ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานทั้งในด้านห่วงโซ่อุปทาน การผลิต การจ้างงาน และการกำหนดราคา
“คุช เดไซ” โฆษกทำเนียบขาว ออกแถลงการณ์ในวันเดียวกันว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐกับต่างประเทศถือเป็นภาวะฉุกเฉินระดับชาติที่ทำลายชุมชนของชาวอเมริกัน ทิ้งคนงานของสหรัฐไว้ข้างหลัง และบ่อนทำลายฐานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลไม่ได้โต้แย้ง
“ไม่ใช่หน้าที่ของผู้พิพากษาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งที่ตัดสินว่าควรจัดการกับภาวะฉุกเฉินแห่งชาติอย่างไร” เดไซกล่าว
อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินกลับตอบรับเชิงบวกต่อคำตัดสินนี้ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างๆ เช่น ยูโร เยน และฟรังก์สวิส ดัชนีล่วงหน้าในวอลล์สตรีทและตลาดหุ้นในเอเชียก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน
หากคำพิพากษานี้ยังคงมีผล จะเป็นการกระทบอย่างรุนแรงต่อนโยบายของทรัมป์ในการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการบีบประเทศคู่ค้า เพื่อเรียกการลงทุนและการจ้างงานกลับคืนสู่สหรัฐ และลดการขาดดุลการค้าสินค้าที่สูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์
หากไม่มีเครื่องมือในการสร้างแรงกดดันทันทีจากภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากทั่วโลกมายังสหรัฐที่กำหนดไว้ตั้งแต่ 10%-54% ภายใต้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ซึ่งเดิมมีไว้ใช้ในกรณีภัยคุกคามที่ผิดปกติและไม่ธรรมดา รัฐบาลทรัมป์จะต้องเปลี่ยนไปใช้กระบวนการสอบสวนทางการค้าที่ใช้เวลานานมากขึ้นภายใต้กฎหมายอื่นแทน
คำตัดสินดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากการยื่นฟ้องร้อง 2 คดี คดีหนึ่งยื่นโดยองค์กร Liberty Justice Center ในนามของธุรกิจขนาดเล็ก 5 รายที่นำเข้าสินค้าจากประเทศที่ถูกเก็บภาษี อีกคดีหนึ่งยื่นโดยอัยการสูงสุดจาก 13 รัฐของสหรัฐ ขณะเดียวกันยังมีอีกอย่างน้อย 5 คดีที่ท้าทายนโยบายภาษีของทรัมป์ในศาล
ศาลการค้าระหว่างประเทศระบุไว้ในคำพิพากษาว่า กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องของการให้การคุ้มครองเฉพาะเจาะจงแก่บางฝ่าย หากคำสั่งเก็บภาษีที่ถูกท้าทายเหล่านี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อโจทก์ ก็ย่อมถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อทุกฝ่ายเช่นกัน
อัยการสูงสุดรัฐออริกอน แดน เรย์ฟิลด์ พรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นผู้นำในคดีของรัฐต่างๆ กล่าวว่า ภาษีของทรัมป์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย บ้าบิ่น และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง “คำตัดสินนี้ยืนยันว่ากฎหมายของเรายังมีความหมาย และนโยบายการค้าไม่สามารถกำหนดได้ตามอำเภอใจของประธานาธิบดี”
ทรัมป์อ้างว่าตนมีอำนาจกว้างขวางในการกำหนดภาษีภายใต้ IEEPA ซึ่งเดิมใช้ในการลงโทษประเทศศัตรูหรืออายัดทรัพย์สินของพวกเขา ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่นำกฎหมายนี้มาใช้เก็บภาษีนำเข้า
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐแย้งว่าควรยกฟ้องคดี เนื่องจากโจทก์ยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีเหล่านั้น และมีเพียงสภาคองเกรสเท่านั้นที่มีสิทธิ์โต้แย้งการประกาศภาวะฉุกเฉินของประธานาธิบดีภายใต้ IEEPA ไม่ใช่ธุรกิจเอกชน
นายกฯ ชี้เรื่องภายในสหรัฐฯ ไทยไม่ช้า-เดินหน้าเจรจาต่อ
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ สั่งระงับการขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศที่ส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยชี้ว่า เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นกระบวนการของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีผลอย่างไรก็ยังไม่ทราบ และไม่ทราบว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะดำเนินการอย่างไรต่อไป แต่ในส่วนของประเทศไทย ก็ต้องดำเนินการในส่วนของเราต่อไป จะไปหยุดชะงักเลยไม่ได้
น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ได้พูดคุยกันถึงเรื่องของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งทุกประเทศในอาเซียน อยู่ในขั้นตอนเดียวกับประเทศไทย คือการส่งข้อเสนอ และรอสหรัฐอเมริกากำหนดวันกลับมาว่าจะเจรจากันเมื่อไหร่ ซึ่งการพูดคุยนี้เกิดขึ้นก่อนที่ศาลการค้าสหรัฐฯ จะมีคำพิพากษา เพราะฉะนั้นยืนยันว่า ไทยไม่ได้ดำเนินการล่าช้า และอยู่ในขั้นตอนของการรอวันที่เช่นกัน ซึ่งก็ยังอยู่ในกรอบระยะเวลา 90 วัน ที่ยังรอสหรัฐอเมริกานัดวันมา แต่ทั้งนี้ในทีมทำงานอย่างไม่เป็นทางการยังมีการติดต่อได้อยู่ รวมไปถึงพูดคุยอัพเดทข้อมูลกันอยู่ตลอด
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ขณะนี้ยังเป็นสัญญาณบวก ไม่มีเรื่องลบ ที่จะถึงขั้นไม่พูดคุยกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเคยถูกถามถึงการระงับวีซ่าเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สรุปแล้วก็ไม่ได้มีอะไร เข้าใจกันได้