Home Feature เล่ห์เขมรมัดมือชก‘ไทย’เสียรังวัด! ‘แม้ว’ ตกร่อง จ้อเคลียร์จบฮุนเซน ‘ขแมร์’ เคลมซึ่งหน้า ส่อสูญดินแดน

เล่ห์เขมรมัดมือชก‘ไทย’เสียรังวัด! ‘แม้ว’ ตกร่อง จ้อเคลียร์จบฮุนเซน ‘ขแมร์’ เคลมซึ่งหน้า ส่อสูญดินแดน

by admin

สื่ออาวุโสสายทหาร ชี้จับตาเล่ห์เหลี่ยมเขมร ร่อนแถลงการณ์ “มัดมือชกไทย” ปัดถอยพร้อมยืนหยัดจุดปะทะ อ้างครอบครองมาก่อน MOU43 เตือนระวังตกหลุมพราง แย้มที่มาวันเสียงปืนแตก ปูดโต๊ะเจรจา “ผบ.ทบ.” ฝ่ายขแมร์ปักธงเคลมซึ่งหน้า! ไทยเสียรังวัด-ไร้ข้อท้วงติง “กองทัพบก” แถลงแก้แห! ให้ยึด 4 ข้อแก้ปมพิพาทชายแดน ย้ำสองฝ่ายถอนกำลังจุดปะทะแล้ว-ห้ามใช้ “เนิน 745 ช่องบก” ขอเชื่อมั่นทหารปกป้องอธิปไตยทุกตารางนิ้ว ยันไม่รุกราน “ทักษิณ” จ้อเคลียร์จบแน่ ย้ำสัมพันธ์ “ฮุนเซน” แนบแน่น ด้านเพื่อนรักหัก(เหลี่ยม) โผล่อ้างสิทธิ์ ส่อเสียดินแดนซ้ำ ขู่สอยเครื่องบินรบไทย พร้อมขนทหาร-อาวุธหนักตรึงชายแดน

“วาสนา นาน่วม” ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหารชื่อดัง ลงคลิปในหัวข้อ “เล่ห์เขมร ! ผบ.ทบ.เขมรกร้าวกลางวงเจรจา ไม่ยอมถอย ยึดแดนไทยช่องบก แถลงการณ์ยึดแดน ซัดไทยผู้รุกราน”

โดยช่วงหนึ่งระบุว่า การเจรจาระหว่างผู้บัญชาการทหารบกไทยและกัมพูชา พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกของไทย กับ พล.อ.เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกของกัมพูชา เมื่อ 15.30 น. วานนี้ (29 พ.ค.) ที่ช่องจอม จ.สุรินทร์ ใช้เวลาพูดคุยประมาณ 90 นาที ไม่ได้จบลงด้วยความสวยงามหรือความราบรื่นหรือความสำเร็จ แต่อาจกำลังตามมาด้วยปัญหาและความเสียเปรียบของฝ่ายไทย

จะเห็นได้ว่าหลังการประชุมเสร็จสิ้นมีรายงานข่าวออกมาจากที่ประชุมว่าสามารถตกลงกันได้ใน 3 ข้อ คือ 1.การถอยกำลังออกจากกันจากจุดที่เป็นความขัดแย้ง 2.ให้รอการเจรจาของคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค RBC และคณะกรรมการปักปันเขตแดน ที่กำลังจะประชุมกันในอีกประมาณ 2 สัปดาห์ และข้อที่ 3.ก็คือให้ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ร่วมกันในพื้นที่ด้วยความระมัดระวังและอดทนไม่ให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งโดยให้ผู้บังคับบัญชาดูแลอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ไม่ได้ถูกพูดถึงคือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในสิ่งที่ตกลงกันไม่ได้ และฝ่ายกัมพูชาไม่ยินยอม นั่นคือการไม่ยอมถอนกำลังออกจากพื้นที่ปะทะล่าสุดที่เรียกว่า “ช่องบก” โดยฝั่งเขมรเรียกว่ามุมใหม่ โดยเข้ามายึดถึงแนวต้นตีนเป็ด ซึ่งบริเวณนี้ถือว่าเป็นเขตแดนประเทศไทย ไม่ใช่พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน แต่ทาง ผบ.ทบ.กัมพูชา ยืนยันหนักแน่นในที่ประชุมว่า พื้นที่ตรงนี้ทหารกัมพูชาอยู่มานานก่อนปี 2543 ที่มีการทำข้อตกลง MOU2543 เพราะฉะนั้นทางฝ่ายกัมพูชาจะไม่สามารถถอนกำลังออกจากตรงนี้ได้

ส่วนแถลงการณ์ของฝ่ายกัมพูชาที่เป็นข้อผูกมัดว่า เป็นข้อตกลงผลจากการหารือระหว่าง ผบ.ทบ. 2 ชาติ โดยสรุปออกมาเป็น 4 ข้อ ซึ่ง 3 ข้อแรกไม่แตกต่างจากที่ประชุมฝ่ายทหารไทย แต่ที่ฝ่ายกัมพูชามีการระบุชัดเจนในข้อ 4 คือ “กัมพูชา” จะไม่ยอมถอยหรือยืนหยัดโดยปราศจากอาวุธในพื้นที่ที่เกิดความขัดแย้งเพราะพื้นที่ตรงนี้ทหารกัมพูชาอยู่มาก่อนที่จะมีข้อตกลง MOU2543 และตบท้ายด้วยว่าทั้ง 4 ข้อนี้ได้รับการตกลงจาก ผบ.ทบ.ไทยและกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลา 16.15 น. 29 พฤษภาคม 2568

คาดฝ่ายกัมพูชาเตรียมการมาก่อนปะทะ ไทยต้องระวังเดินเข้าตามแผนอีกฝ่าย

จากแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการสะท้อนว่ากัมพูชาได้มีการประกาศดินแดนอธิปไตยของตนเองบนโต๊ะเจรจาในครั้งนี้แล้ว และได้รับความเห็นชอบจาก ผบ.ทบ.ฝ่ายไทย และจะเห็นว่ารูปแบบการแถลงข่าวของกัมพูชามีเอกสารเป็นการแถลงข่าวหัวกระดาษแสตมป์ดูเป็นทางการและก็ดูมีการเตรียมการ ดังนั้นเป็นการสะท้อนว่าการมาเจรจาครั้งนี้ของกัมพูชาไม่ได้มาเล่นๆ ไม่ได้มาเพราะว่ารู้สึกเสียเปรียบ แต่มาเพราะว่าเราก้าวขาเข้าไปในแผนของเขา 1 ก้าวแล้ว และที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาจากทหารในพื้นที่อีสานที่ได้เคยรักษาพื้นที่ในบริเวณนี้กันมายาวนานแต่ ณ เวลานี้ กัมพูชาได้ประกาศบนโต๊ะเจรจาแล้วว่าบริเวณนี้เป็นอธิปไตยของกัมพูชา โดยที่ในที่ประชุมไม่ได้มีการท้วงติงหรือแย้ง แม้ว่าจะมีการเตรียมข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศต่างๆ ไว้แล้วก็ตาม

แต่ด้วยการพูดของ ผบ.ทบ.ฝ่ายไทย และกัมพูชา เป็นการพูดทีละฝ่าย เริ่มจากไทยได้พูดก่อน ตามด้วยฝั่งกัมพูชา ยืนยันว่า ทหารกัมพูชาจะไม่สามารถถอยออกจากแนวต้นพญาสัตบรรณได้ เพราะเป็นพื้นที่ที่ทหารกัมพูชาอยู่มาตั้งแต่ก่อนมีข้อตกลง MOU2543 จากนั้นก็พูดต่อ จนจบทั้ง 14 ประเด็น

แต่จากที่ “วาสนา” เช็กจากรายงานเบื้องต้นว่า ในที่ประชุมไม่ได้มีการแย้งในประเด็นนี้ว่าแนวต้นพญาสัตบรรณ เป็นพื้นที่ของประเทศไทย แม้ว่าฝ่ายไทยจะเตรียมข้อมูลเตรียมเอกสารหลักฐานมาแล้วก็ตาม อาจจะด้วยเพราะในการพูดคุยมีหลายประเด็น และฝ่ายไทยก็เน้นที่จะไปพูดในเชิงบวก

“เรื่องนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ข่าวที่ออกมาจากฝ่ายไทยยืนยันว่า ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายขอเจรจาก่อน ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่คาด ถ้าเทียบกับเมื่อปี 2554 ครั้งนี้ถือว่าเป็นการปะทะเล็กๆ แต่กัมพูชาก็เรียกร้องให้มีการเจรจา และที่สำคัญการเจรจานี้เป็นการเจรจาที่นำโดย ผบ.ทบ.ของฝ่ายไทยกับฝ่ายกัมพูชา ซึ่งแตกต่างจากปี 2554 ที่ ผบ.ทบ.ไม่ได้มาเจรจาเอง”

อีกอย่างหนึ่งก็เป็นเหมือนการมอบหมายจากทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ที่มอบหมายให้ ผบ.ทบ.เป็นคนมาเจรจา ทั้งๆ ที่ฝ่ายไทยถือว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายขอเจรจาก่อน ราวกับว่าฝ่ายกัมพูชารอวันนี้มานาน หลังจากที่ได้มีการยั่วยุมีการรุกล้ำได้ปฏิบัติการหลายๆ อย่างเพื่อต้องการให้เกิดวันนี้ และนำมาสู่โต๊ะเจรจา และนำไปฟ้องศาลโลกหรือองค์การสหประชาชาติ

“นี่เป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยเราต้องระมัดระวังอย่างที่สุด เพราะตอนนี้เราก้าวไปในแผนของเขาแล้ว 1 ก้าว” ซึ่งฝ่ายไทยมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายทางอากาศทั้งหมด เราก็ควรจะแย้งในที่ประชุมเจรจาไปก่อน เรื่องนี้ทหารไทยที่ชายแดนรู้ดีว่าทหารกัมพูชาเพิ่งเอากำลังมาในช่วงที่มีการวางแผนเผาศาลาตรีมุข แล้วจากนั้นก็เคลื่อนกำลังเข้ามา จนที่สุดก็มาถึงแนวต้นไม้ก็คือต้นพญาสัตบรรณ ซึ่งจุดนี้เป็นเขตแดนประเทศไทย และล้ำเข้ามาถึง 150 เมตร และมีการขุดคูเลตสร้างฐานที่มั่นทางทหาร

เล่าที่มาวันปะทะ แย้มสาเหตุที่กัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน

การที่ทหารไทยจะเข้าไปที่แนวต้นพญาสัตบรรณอีกเนี่ยไม่ใช่เรื่องง่ายจะเห็นได้ว่าเมื่อเช้ามืดวันที่ 28 พฤษภาคม วันที่มีการปะทะกัน ทหารไทยใช้ความพยายามในการที่จะกดดันให้ทหารกัมพูชาออกไปจากแผ่นดินไทยบริเวณแนวต้นพญาสัตบรรณที่ช่องบก จึงมีการนำกำลังเข้าไปตั้งแต่เช้าตรู่แต่พอเข้าไปแล้วในห้วงเวลาเช้าตรู่แบบนั้นทหารกัมพูชาซึ่งหวาดระแวงอยู่แล้วว่าทหารไทยจะมายึดพื้นที่ที่คืนจึงเปิดฉากยิงใส่ทหารไทยก่อน ตามที่ทหารไทยได้แถลง ทหารไทยก็ต้องยิงต่อสู้และป้องกันตัวแต่ทหารไทยเตรียมตัวมาดีเพราะเป็นฝ่ายเอากำลังเดินเข้ามาลาดตระเวนและเพื่อกดดันให้ทหารเขมรถอยออกไป การปะทะกันประมาณ 10 นาที จึงทำให้ทหารเขมรเสียชีวิตในพื้นที่หนึ่งและบาดเจ็บอีก 2 คน

ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่าทหารกัมพูชาที่บาดเจ็บสาหัส เสียชีวิตอีก 1 คนรวมเป็น 2 คน ส่งผลให้ในโซเชียลเขมรก็เอาประเด็นนี้ไปปลุกมีการแชร์ภาพงานศพ การแสดงความเสียใจของครอบครัวแล้วก็ผู้บังคับบัญชา และมีการกดดันมาที่ฝ่ายทหารและรัฐบาลและนายกฯ นี่จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ทั้งนายกฯ และสมเด็จฮุนเซ็น ต้องมีการแสดงออกถึงความก้าวร้าวใส่ประเทศไทย เรียกได้ว่านี่ก็เป็นไปตามแผนของทางกัมพูชาที่ยั่วยุไทยมายาวนานหลายเดือน

ทบ.แถลงแก้แห! ยึด 4 ข้อสางพิพาท ‘ช่องบก’

ขณะที่ กองทัพบกออกหนังสือแถลงการณ์ผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย และ ผบ.ทบ.กัมพูชา ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ระบุว่า

1. ผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ และเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญต่อเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ที่ต้องการให้มีการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง พร้อมแสดงจุดยืนสนับสนุนการพูดคุยเจรจาด้วยสันติวิธีในการหาข้อตกลงร่วมกัน

และขอยืนยันว่าจะไม่มีการรุกรานอธิปไตย หรือการหยิบยกประเด็นข้อขัดแย้งในอธิปไตยของกัมพูชาโดยเด็ดขาด การเจรจาครั้งนี้จะส่งผลดีต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ

2. กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทยและกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ โดยปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะได้ตกลงที่จะเคลื่อนออกจากพื้นที่ ถือเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นพ้องในการใช้กลไกคณะกรรมการร่วมมือรักษาความ สงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน หรือ Reqional Border Committee (RBC) เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยที่อาจค้างคา และส่งเสริมกลไก JBC ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

3. ผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายได้ระบุว่าจะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด โดยผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ย้ำว่าในส่วนของกัมพูชา หากมีผู้ใดฝ่าฝืนข้อตกลงที่ได้ร่วมกันวางไว้ในวันที่ 29 พ.ค. จะดำเนินการย้ายกำลังออกจากพื้นที่ทันที และยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาสามารถควบคุมและสั่งการหน่วยงานทุกหน่วยได้อย่างเด็ดชาด

4. การพบปะเจรจาระหว่างผู้บัญชาการทหารบกไทยและกัมพูชาในครั้งนี้ บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี สามารถบรรลุข้อตกลงในการถอนกำลังออกจากจุดที่ปะทะ และคงกำลังอยู่ในที่ตั้งเดิมรอผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม JBC ในระหว่างนี้ ผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายจะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด

โดยกองทัพบกจะยังคงติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนอย่างใกล้ชิดและเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนต่อไป

นอกจากนี้ กองทัพบกยังขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับฟังข่าวสาร โดยใช้รับฟังข้อมูล จากรัฐบาลและสื่อหลักเท่านั้น เพื่อป้องกันความสับสนจนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ พร้อมขอให้เชื่อมั่นการทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของไทยทุกตารางนิ้ว

‘ฮุนเซน’ ฮึ่ม! ขู่สอยเครื่องบินรบไทย ขนทหาร-อาวุธหนักตรึงชายแดน

สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และประธานวุฒิสภาคนปัจจุบัน เปิดเผยว่า เคยเดินทางไปยังจุดปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาเมื่อปี 2009 พร้อมตั้งคำถามว่าเหตุใดพื้นที่ดังกล่าวจึงถือว่าเป็นของฝ่ายไทย และทำไมทหารกัมพูชาต้องเสียชีวิตที่นั่น

พร้อมยืนยันการที่กัมพูชาส่งกำลังพลและอาวุธหนักไปประจำชายแดนนั้น ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเปิดฉากความขัดแย้ง แต่เพื่อแสดงความพร้อมในกรณีสถานการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้น คล้ายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างปี 2008-2011 บริเวณปราสาทพระวิหาร

ทั้งนี้ รายงานจาก “พนมเปญ โพสต์” ระบุว่า คำพูดของสมเด็จฮุน เซน มีขึ้นหลังเกิดกระแสในโลกออนไลน์เกี่ยวกับไทยอาจใช้เครื่องบินรบในพื้นที่ชายแดน ซึ่งอดีตผู้นำกัมพูชาระบุว่า เป็นคำถามยั่วยุ แต่หากเรื่องนี้เป็นจริง กัมพูชาก็เตรียมพร้อมเช่นกัน โดยย้ำว่า กองทัพมีศักยภาพในการตอบโต้ รวมถึงยิงเครื่องบินตกหากจำเป็น

อย่างไรก็ตาม “ฮุน เซน” ย้ำว่า ไม่ต้องการให้สถานการณ์ลุกลาม และการประจำการของทหารในพื้นที่เป็นไปเพื่อควบคุมสถานการณ์เท่านั้น ไม่มีแผนขยายกำลังเพิ่มเติม พร้อมกล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ดีจากการเยือนของนายกรัฐมนตรีไทย “แพทองธาร ชินวัตร” เมื่อเดือนเมษายน ว่าเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างสองประเทศ และไม่ควรมีเหตุขัดแย้งเกิดขึ้นอีก

‘แม้ว’ ลั่นเคลียร์จบแน่ ย้ำสัมพันธ์ ‘ฮุนเซน’ แนบแน่น

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเหตุปะทะในพื้นที่ชายแดนช่องบก ว่า น่าจะเคลียร์กันจบแล้ว ผู้ใหญ่ทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีคุยกันรู้เรื่อง และทางทหารก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องกระทบกระทั่งกันในพื้นที่ของทหารชั้นผู้น้อย กติกาก็คือเขตแดนที่ไม่ชัดเจน ไม่มีการปักปัน ใครเป็นอย่างไรก็ให้ถอยออกไปเป็น “โนแมนแลนด์” ไม่ต้องมีคนอยู่

“มันก็จะไม่มีอะไรไปกระทบกระทั่งกัน เพราะการปักปันเขตแดนของแต่ละประเทศทั่วโลก ใช้เวลาเป็น 1,000 ปี คุยกันไม่จบหรอก เพราะฉะนั้นก็เป็นโนแมนแลนด์เสีย ซึ่งความจริงแถวนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นป่าทั้งนั้น และรัฐบาลทั้งสองประเทศก็มีการพูดคุยกันโดยตลอด ผมกับท่านฮุนเซนคุยกันเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่มีอะไร ทุกฝ่ายต้องอย่าไปเติมเชื้อ มันเป็นเรื่องที่กระทบกระทั่งกันบริเวณชายแดน แทนที่จะยิงกันก็เปลี่ยนมาเป็นเตะตะกร้อกัน ตอนเย็นก็ไม่มีอะไรแล้ว” นายทักษิณ กล่าว

กรณีมีข่าวการส่งกำลังทหารและอาวุธไปที่บริเวณชายแดนนั้น นายทักษิณ กล่าวว่า “ไม่มีหรอก ถอยหมดแล้ว” ส่วนกรณีที่สมเด็จฮุน เซน ยังโพสต์เฟซบุ๊กถึงเหตุการณที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น นายทักษิณ กล่าวว่า เดี๋ยวก็ดีขึ้น บางทีบางครั้งมันพูดกันคนละที แต่หลักการไม่มีอะไร ไม่มีการเพิ่มความตึงเครียด ช่วยกันทั้ง 2 ฝ่าย และพยายามอธิบาย ให้คนที่อยู่ในพื้นที่เข้าใจว่า เราเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ควรมีความขัดแย้งกัน

Related Articles