“ฮุนเซน” ปลุกเร้ากลางสภา โอดครวญกัมพูชาเสียดินแดนเยอะแล้ว พร้อมหนุน “ลูกชาย” ยื่นฟ้องศาลโลก! ฉุน “มทภ.2” สั่งถอย 200 เมตรเลี่ยงจุดปะทะช่องบก ขู่ไทย! ถ้าไม่ไปศาลโลก อาจกลายเป็นเหมือนฉนวนกาซา “นายกฯ ฮุน มาเนต” อ้างใช้สันติวิธี ชงศาลระหว่างประเทศ เคลียร์ปมพิพาทชายแดน “โฆษก ทบ.” โต้ทันควัน! “เขมร” อย่าเบี่ยงประเด็น ลั่นใช้กลไก JBC ปักปันเขตแดน-ยึดเอ็มโอยู43 ฉะภาพฮุนเซนมั่ว-ไม่ใช่จุดปะทะที่เป็นป่า ชี้ภาพถ่ายทางอากาศ “ทหารเขมร” เพิ่งขุดคูเลตไม่นาน “บัวแก้ว” แจงสางเหตุบานปลาย ย้ำไทยป้องอธิปไตย-ป้องกันตนเหมาะสม สอดคล้องกฎหมายสากล เปิดธรรมนูญศาลโลก ถ้าไทยไม่ยอมก็ไร้ผล
กรณีปมพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา “สมเด็จฯ ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภา มีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 182 เสียง ให้รับรองต่อแผนดำเนินการของ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการยื่นข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชากับไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก (ICJ)
ต่อมา “พนมเปญโพสต์” รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. อดีตผู้นำกัมพูชาเตือนว่าหากประเด็นพื้นที่พิพาทระหว่างกัมพูชาและไทยไม่ได้รับการแก้ไขในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ อาจนำไปสู่สถานการณ์คล้ายกับฉนวนกาซาที่อิสราเอลและชาวปาเลสไตน์เผชิญกับความขัดแย้งไม่รู้จบ
“ฮุน เซน” ยังกล่าวในการประชุมรัฐสภาและคณะกรรมการร่วมวุฒิสภาว่า การที่กัมพูชาเชิญให้ไทยยื่นประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนให้กับศาลโลกพิจารณาตัดสินนั้น เป็นแนวทางที่ดีในการให้ไทยแก้ไขปัญหาด้วยแนวทางการทูต และหากไทยยังคงปฏิเสธที่จะยื่นเรื่องต่อศาลโลก จะถือว่าเป็นสัญญาณชัดเจนว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังซ่อนอยู่
ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามไว้ในปี 2543 ไม่สามารถปฏิบัติได้อีกต่อไป เพราะแม้จะผ่านมาแล้ว 25 ปีก็ยังไม่มีการแก้ปัญหาในเรื่องนี้
“หากเราไม่ปล่อยให้ศาลตัดสิน ปัญหานี้จะเป็นเหมือนเรื่องฉนวนกาซาระหว่างอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และมีการต่อสู้อยู่ตลอด ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ทำไมเราต้องกลัวการขึ้นศาลหากเราบริสุทธิ์ใจ”
นอกจากนั้น “ฮุน เซน” เน้นย้ำว่า กัมพูชาไม่มีเจตนาที่จะยึดดินแดนของคนอื่น และเพียงแต่ต้องการรักษาพรมแดนของตนเองที่ได้ขีดไว้ในสมัยที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ซึ่งกัมพูชาได้เสียดินแดนจำนวนมากไปแล้ว ดินแดนที่เหลืออยู่นั้นมีเพียงเล็กน้อยแต่ก็ต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้
ที่ประชุมรัฐสภาและคณะกรรมการร่วมวุฒิสภา ได้มีการลงมติเป็นเอกฉันท์ในการสนับสนุนให้รัฐบาลกัมพูชายื่นเรื่องปัญหาพื้นที่พิพาทกับไทยให้ศาลโลกพิจารณา โดย “ฮุน เซน” กล่าวว่า กัมพูชาจะขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เข้ามาแทรกแซงหากมีการปะทะกันเกิดขึ้นอีก

“ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุผ่านเฟซบุ๊กว่า ตนได้ประชุมกับผู้นำกองทัพที่ชายแดน เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์จริง บริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย พร้อมสั่งการให้คณะกรรมการชายแดนร่วม หรือ JBC ของกัมพูชา จัดการประชุม JBC กับฝ่ายไทยโดยด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดน และดำเนินการสำรวจ, ปักปันเขตแดน และปักหมุดเขตแดนระหว่างสองประเทศ
นอกจากนี้ ยังเตรียมบรรจุวาระการประชุมของ JBC เกี่ยวกับการนำปัญหาของปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย, และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต-บริเวณช่องบก ไปสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ โดยตรง
พร้อมยืนยัน กัมพูชายึดมั่นในการแก้ไขปัญหาชายแดนโดยสันติวิธีด้วยการใช้กลไกทางเทคนิคและกฎหมายระหว่างประเทศเป็นหลัก
ขณะที่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ แถลงหลังประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ฝ่ายไทย โดยระบุว่า ช่วงที่ผ่านมาไทย-กัมพูชาได้หารืออย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายจนกระทบกับทั้ง 2 ประเทศ พร้อมยืนยัน ไทยดำเนินการตามกฎหมายเพื่อป้องกันอธิปไตย และป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับหลักกฎหมายและกฎหมายสากล

พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ภายหลังนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศว่า เตรียมให้ที่ประชุม JBC ไทย-กัมพูชา ที่จะมีขึ้นกลางเดือน มิ.ย.นี้ นำกรณีสามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) และปราสาทอีก 3 แห่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ว่า ยังเป็นคนละเรื่องกับปัญหาปัจจุบัน ที่จะทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ที่ยังไม่ชี้ชัดว่าควรเป็นพื้นที่ของใคร
ในขั้นตอนแรก ทั้ง 2 ฝ่าย จึงถอยห่างจากจุดปะทะ และให้คณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา มาดูในเป็นเรื่องปักปันเขตแดน หรือกฎหมาย ข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะข้อตกลงที่ พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ไปพูดคุยกับ ผบ.ทบ.กัมพูชา มีเห็นตรงกัน 3 ประเด็น คือ การถอยกำลังออกจากพื้นที่จุดปะทะ และใช้กลไก JBC มาร่วมแก้ปัญหาเรื่องเขตแดน เรื่องสนธิสัญญา และข้อปฏิบัติตามเอ็มโอยู จะระมัดระวังดูแลกำลังพลพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก
สำหรับกติกาที่ทำมาก่อนหน้านี้ เส้นที่มีอยู่แล้วของ 2 ประเทศไม่ได้ทับกัน เช่น พื้นที่ที่มีการขุดคูเลทเป็นพื้นที่อยู่ระหว่างจัดทำเขตแดน ซึ่งตามกติกาที่ใช้ร่วมกันมาอยู่ได้ตลอด ไม่ให้มีการดัดแปลงสภาพภูมิประเทศ ต้องไม่มีการวางกำลังทหาร วางปืนหันหน้ามาฝ่ายไทย เราจึงต้องมาร่วมกันรักษากติกาข้อตกลงที่ให้ไว้ต่อกันให้ได้ก่อนที่จะไปใช้กลไกอื่นๆ
ส่วนกรณีพูดถึงภาพที่ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” โพสต์ภาพถ่ายพื้นที่ต่างๆ เป็นข้อพิพาทโดยอ้างเป็นของกัมพูชานั้น เป็นพื้นที่ใกล้ศาลาตรีมุข ที่ไม่ใช่พื้นที่เกิดเหตุปะทะซึ่งสภาพพื้นที่เป็นป่า ไม่เคยพบมีชาวบ้านหรือทหารกัมพูชามาอยู่ จากหลักฐานภาพถ่ายชัดเจน เหมือนเพิ่งมาขุดคูเรดกันไม่นาน ไม่ใช้มาขุดอยู่กัน 30-40 ปีที่แล้วแน่ๆ