“สม รังสี” โหนกระแสคลั่งชาติ หนุนฟ้องไทยต่อศาลโลก ปมพิพาทช่องบก เกทับ “ฮุนเซน” จี้เอาเกาะกูด พ่วง 3 ปราสาทหิน เย้ย “พ่อลูกตระกูลฮุน” ดีแต่ปาก! ไม่กล้าฟ้องจริง เพราะสนิทนักการเมืองไทย “ปานเทพ” เสนอรัฐบาลประท้วงให้ชัด! ป้องกฎหมายปิดปาก ซ้ำรอยปราสาทพระวิหาร หนุน “กองทัพ” ปกป้องประเทศถึงที่สุด แสดงจุดยืนหนักแน่นไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ชงปิดด่านตอบโต้ “บิ๊กอ้วน” ยังอมพะนำ! คิดแต่เจรจา ปล่อยเขมรเหิมหนัก! อ้างใช้สงครามเป็นสิ่งสุดท้าย “สื่อสายทหาร” เหน็บ “ทักษิณ” พูดบาดใจ ทหารไทยรับไม่ได้ แฉเล่ห์ขแมร์ “การข่าว” ชี้ถอนไม่จริง-ลอบวางกับระเบิด
ภายหลังจากรัฐบาลกัมพูชา โดย “ฮุนมาเนต” นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศจะนำประเด็นข้อพิพาทเขตแดนกับไทยบริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก) ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และประสาทตาควาย ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อหาข้อยุติ ไม่ว่าไทยจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม
โดยล่าสุด “สม รังสี” อดีตผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชา ซึ่งขณะนี้ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก สนับสนุนให้รัฐบาลกัมพูชายื่นฟ้องต่อ ICJ โดยให้รวมประเด็นเกาะกูดเข้าไปด้วย
“ข้อพิพาทพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ประสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเหมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และเกาะกูด ต้องยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (กัมพูชา)จะต้องให้สัตยาบันต่อ UNCLOS เพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนทางทะเล”
นอกจากนี้ “สม รังสี” ยังได้ระบุอีกว่า ปัญหาชายแดนเป็นเรื่องของชาติ อย่าเอาแต่พูด คุณต้องยื่นฟ้องโดยใช้เอกสารต้นฉบับที่ชัดเจน เชื่อว่านี่คือสิ่งที่ชาวกัมพูชาจากทุกกระแสการเมืองต้องการ อย่างไรก็ตาม เราไม่เชื่อว่าฮุนมาเนตจะฟ้องไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพราะฮุนเซนและฮุนมาเนตมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมืองไทยบางคน
“ดังนั้นชาวเขมรผู้รักชาติในทุกกระแสการเมืองจะต้องกดดันและผลักดัน ให้ฮุนมาเนตยอมฟ้องประเทศไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรณีที่เกาะกูด พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย พื้นที่ช่องอานม้า และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต”

ล่าสุดวันนี้ (3 มิ.ย.) นายสม รังสี โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเครื่องมือทางกฎหมาย 3 ฉบับ ที่เขาอ้างว่าสามารถใช้ในคดีที่จะฟ้องไทยต่อ ICJ ได้ นั่นคือ
1.ข้อตกลงสันติภาพปารีส (23 ตุลาคม 1991) โดยสนธิสัญญานี้รับรองว่าอำนาจอธิปไตยบูรณภาพแห่งดินแดน และเอกราชของกัมพูชาจะไม่ถูกละเมิด ประเทศที่ลงนามทั้ง 18 ประเทศ รวมทั้งไทยและเวียดนาม มีหน้าที่ต้องเคารพและยึดมั่นในหลักการเหล่านี้
2.สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม (1905–1907) ที่กัมพูชาเคยใช้ฟ้องไทย 2 ครั้ง ช่วงปี 1962-2013 ข้อตกลงนี้จัดทำขึ้นเมื่อฝรั่งเศสเป็นรัฐในอารักขาของกัมพูชา โดยกำหนดเขตแดนเขมร-ไทยโดยใช้หลักเขตที่ 73 ซึ่งฝรั่งเศสยังคงใช้แผนที่มาตราส่วน 1:100,000 ดั้งเดิมที่ผลิตโดยสถาบันเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก (NGI) ไว้ สถานทูตฝรั่งเศสในกรุงพนมเปญได้มอบสำเนาแผนที่ต้นฉบับนี้ให้กับนายกรัฐมนตรีฮุนเซนในปี 2015 นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังให้คำมั่นที่จะส่งคณะผู้เชี่ยวชาญไปสำรวจและกำหนดเขตแดนใหม่หากกัมพูชาร้องขออย่างเป็นทางการ
3.อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) อนุสัญญานี้ได้รับการรับรองในปี 1982 และมีผลใช้บังคับตั้งแต่ปี 1994 โดยระบุถึงสิทธิและความรับผิดชอบของประเทศต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ทะเล รวมถึงการกำหนดเขตแดนทางทะเล เขตเศรษฐกิจ การปกป้องสิ่งแวดล้อม และกลไกการแก้ไขข้อพิพาท
“เราเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเป็นทางการในการนำคดีเกี่ยวกับปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เกาะกูด และเขตแดนทางทะเลที่เป็นข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยดำเนินการทางกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าแค่คำพูด”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อ 3 เรื่อง UNCLOS นั้น ขณะนี้กัมพูชาเป็นชาติในภูมิภาคแถบนี้ชาติเดียวที่ยังไม่ลงสัตยาบัน เพราะถ้ากัมพูชาเข้าร่วม UNCLOS จะเสียเปรียบ เนื่องจากหากใช้หลักการตาม UNCLOS แล้วพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (OCA) ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ตาม MOU2544 ที่ถกเถียงกันมานานนั้น ส่วนใหญ่จะตกเป็นของไทย เพราะฉะนั้นรัฐบาลกัมพูชาจึงไม่น่าจะใช้ UNCLOS ในการฟ้องร้องประเทศไทย
ด้าน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ระบุว่า เมื่อรัฐบาลกัมพูชาแสดงตัวเป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ฝ่ายรัฐบาลไทยควรจะต้อง
1. ทำหนังสือทางการทูตประท้วงให้ชัดเจน เพื่อป้องกันกฎหมายปิดปากในอนาคต อย่าให้ซ้ำรอยเหมือนประสาทพระวิหารในอดีต
2. ต้องสนับสนุนให้กองทัพรักษาดินแดนเพื่อปกป้องประเทศอย่างถึงที่สุด
3. ต้องแสดงจุดยืนไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกให้ชัดเจนหนักแน่น
4. ควรตอบโต้ “ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา”

วันเดียวกันนี้ น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ระบุถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา โดยชี้ว่า จากการวิเคราะห์ทั้งหมดเป็นแผนของกัมพูชา เพราะที่ผ่านมามีการยั่วยุกันตลอด ตั้งแต่เหตุเพลิงไหม้ศาลาตรีมุข การขุดคูเลต ที่ทหารไทยพบว่าทหารกัมพูชาขุดคันดินในพื้นที่ซึ่งไม่มีใครครอบครองมาก่อน แม้ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าดูแลพื้นที่นี้อยู่ก็ตาม ทางการไทยก็อดทน สุดท้ายพอรุกล้ำเข้ามามาก ทหารไทยจึงตัดสินใจเข้าพื้นที่ไป แม้จะมีการเจรจาแล้วก็ยังมีการขนอาวุธเข้ามาอีกเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ที่บอกว่าทั้งสองฝ่ายเจรจากันให้ทั้งสองฝ่ายถอยในพื้นที่ปะทะออกไปก่อนนั้น ในทางการข่าวพบว่าทหารกัมพูชาถอยไม่จริง เพราะมีรายงานว่าทหารกัมพูชาวางกับระเบิดในพื้นที่ไว้แล้วด้วย
“ตอนนี้มีรายงานจากทหารในพื้นที่ว่า ที่บอกว่าถอยแล้ว ถอยแค่แนวต้นสัตบรรณ เขายังอยู่ แต่ตรงจุดปะทะซึ่งเลยออกมาเล็กน้อย มีรายงานจากทหารในพื้นที่ว่า เขาวางกับระเบิดแล้ว … ที่บอกว่าถอยไป 400 เมตร เขากลับไปตรงจุดของเขาแล้ว เขาไม่ถอย ไม่งั้น ผบ.ทบ. เขาจะพูดเหรอว่าถอยตามที่ ในที่ประชุมเขาพูดเลยว่า ตามที่ฝ่ายไทยเสนอมาให้ถอยออกไปคนละ 200 เมตร เขาทำไม่ได้ จากแนวต้นพญาสัตบรรณ เขาทำไม่ได้เพราะนั่นเป็นดินแดนที่เขาอยู่มาก่อนมี MOU” สื่ออาวุโสสายทหาร ระบุ