“กลาโหมกัมพูชา” เมินคำขอฝ่ายไทย ให้ถอยทหารจากช่องบก “ข่าวกรอง” เผยกำลังทหาร “เขมร” ตรึงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เกือบ 12,000 นาย กระจายทั่วพื้นที่ “เนิน 745-เนิน 641-ศาลาตรีมุข” พบขน “อาวุธหนัก” ประจำพื้นที่เพียบ หันปลายกระบอกปืนมายังฝ่ายไทย ส่องยุทโธปกรณ์ขแมร์ ยกมาทั้งรถถัง T-55 จรวดหลายลำกล้อง RM-70 และ BM-21 สมัยโซเวียต ปืนใหญ่ลากจูงจากจีน แถมพ่วง ปตอ. 23 มม. ZU-23
เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. “กระทรวงกลาโหมกัมพูชา” ระบุถึงการหารือเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมของไทย กับ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมกัมพูชา
โดยกระทรวงกลาโหมกัมพูชาระบุว่า จากการพูดคุยกัน ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะลดความตึงเครียด โดยรักษาการสื่อสาร ความเข้าใจ และการเจรจาอย่างสันติต่อไปในอนาคต เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะทางทหารระหว่างกัมพูชากับไทย
อย่างไรก็ตาม “ในส่วนของคำขอของฝ่ายไทย ให้กัมพูชาถอนทหารออกจากจุดที่ตั้งในพื้นที่มอมเตย (ช่องบก) ซึ่งเกิดการสู้รบเมื่อวันที่ 28 พ.ค.นั้น ฝ่ายกัมพูชาขอปฏิเสธที่จะทำตามคำขอดังกล่าว”
ทั้งนี้ เนื่องจากจุดที่ตั้งดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งได้ประจำการอย่างถาวรมาตั้งแต่ต้น ฝ่ายกัมพูชาไม่สามารถถอนทหารออกจากจุดที่ตั้งที่กองทัพกัมพูชาประจำการมาเป็นเวลานานและอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาได้
ตราบใดที่ฝ่ายไทยยังคงใช้แผนที่และมาตราส่วนที่แตกต่างกัน เราจะไม่สามารถหาจุดกึ่งกลางในการรักษาเสถียรภาพชายแดนได้ ฝ่ายกัมพูชายังคงยึดมั่นที่จะเคารพบันทึกความเข้าใจปี 2543 (MOU 2543) เช่นเดียวกับที่เคยทำมาในอดีต
ดังนั้น ฝ่ายกัมพูชาจึงได้ตัดสินใจเตรียมการเพื่อส่งพื้นที่พิพาททั้ง 4 แห่ง คือ มอมเตย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโตช และปราสาทตาควาย ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในกรุงเฮก เพื่อยุติข้อพิพาทและกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน กัมพูชาตั้งใจที่จะยอมรับเฉพาะสันติภาพ เสถียรภาพ และผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่ายเท่านั้น
ในเรื่องนี้ ฝ่ายไทยยังแสดงความเคารพต่อสิทธิของกัมพูชาในการยื่นประเด็นทั้ง 4 พื้นที่ดังกล่าวต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) นอกจากนี้ เรายังตกลงที่จะดำเนินกลไกการเจรจาต่อไปในการประชุม GBC/JBC/RBC ในประเด็นอื่นๆ ในอนาคต
รายงานข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงพื้นที่ชายแดนไทย –กัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังมีการเคลื่อนกำลังทหาร อาวุธหนัก เข้าพื้นที่ต่อเนื่อง นับตั้งแต่เกิดกรณีแม่บ้านทหารกัมพูชาทำกิจกรรมบนปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ จนมีการปะทะคารมระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา
ต่อมา กัมพูชาเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่พร้อมนำอาวุธเข้ามาประจำการต่อเนื่องโดยมีกำลังพลประมาณกว่า 10,000 นาย แต่หลังเกิดเหตุปะทะช่องบก และทหารกัมพูชาได้เสียชีวิตทางกัมพูชาได้เพิ่มกำลังทหารเข้ามาเสริมอีกกว่า 3,000 นาย ทำให้มีทหารกัมพูชา ที่อยู่ในพื้นที่ช่องบก กระจายอยู่ในพื้นที่เนิน 745 เนิน 641 และตรง พื้นที่มอมเบย์ (ศาลาตรีมุข) จำนวน 12,000 นาย
ทั้งนี้ กำลังทหารกัมพูชา ได้นำอาวุธหนักตั้งเต็มพื้นที่ชายแดนกัมพูชาเช่นกัน พร้อมหันปลายกระบอกปืนมายังฝ่ายไทย โดยมีอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ
– เครื่องยิงจรวด 4 ลำกล้องติดตั้งบนรถบรรทุก 6 ล้อและรถบรรทุกจรวด 60 ลูก 1 คัน
– จรวดหลายลำกล้อง RM-70 ขนาด 122 มม.
– ปืนสั้น SH-1A ขนาด 155 มม.
– รถเรดาร์อุตุนิยมวิทยา 702D
– รถถังรุ่น T-55
– ปืนใหญ่ขนาด 130 มม. M-64
– ปืนใหญ่ขนาด 122 มม.
– ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน 23 มม. ZU-23
– จรวดต่อสู้อากาศยานระดับเพดานต่ำ QW-3
– ปืนไร้แรงสะท้อนขนาด 82 มม.
– ปืน ค.60
– ปืนกลหนัก 12.7 มม.
– ปืนใหญ่ลากจูง ป.125 มม. TYPE-85 จากจีน
– ปืนใหญ่ลากจูง ป.อัตราจร ขนาด 155 มม. SH1A จากจีน
– เครื่องยิงลูกระเบิดกึ่งอัตโนมัติรุ่น LG-4 จากจีน – จรวดหลายลำกล้อง BM-21 สหภาพโซเวียต