Home Feature ฉีก ‘MOU43’ สกัด ‘เขมร’ เคลมดินแดน ‘บิ๊กอ้วน’ เมินขแมร์สู้ศาลโลก! ‘อิ๊งค์’ สั่ง มทภ.2 เคลียร์คิวเปิดด่าน

ฉีก ‘MOU43’ สกัด ‘เขมร’ เคลมดินแดน ‘บิ๊กอ้วน’ เมินขแมร์สู้ศาลโลก! ‘อิ๊งค์’ สั่ง มทภ.2 เคลียร์คิวเปิดด่าน

by admin

“ปานเทพ” จี้ยกเลิก MOU 2543 ชี้ต้นเหตุเขมรเคลมดินแดน! พร้อมเปิดลายเซ็น “อดีตนายกฯ ชวน” รับรองใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 “ภูมิธรรม” เมิน “กัมพูชา” ตั้งคณะกรรมการร้อง “ศาลโลก” จ้องฮุบ 4 พื้นที่ข้อพิพาท แย้มไทยมี “มาตรการรับมือ” แต่ขั้นตอนกฎหมายเผยไม่ได้ ย้ำไม่เปลี่ยนหัวหน้าทีมเจรจา JBC ลั่นคนที่อยู่กับพื้นที่รู้ปัญหาดีที่สุด ด้านนายกฯ “แพทองธาร” ลงพื้นที่สุรินทร์ ถกร่วม 7 ผวจ.ชายแดน แก้ปมขัดแย้ง ก่อนสั่ง “มทภ.2” คุย “กัมพูชา” เปิด-ปิดด่านเวลาตรงกัน

เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุข้อความว่า  คุณชวน หลีกภัย “อนุมัติ” ข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ (ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ในเรื่อง MOU 2543 ให้นำเรื่องเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2543 โดยนายวรากรณ์ สามโกเศศ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตี

ระบุอย่างชัดเจนว่าพื้นฐานทางกฎหมายของ MOU 2543 คือ การสำรวจและปักหลักเขตแดนทางบกจะดำเนินการโดยใช้เอกสารที่ผูกพันไทยและกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึง “แผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน

นับตั้งแต่นั้นผ่านมา 25 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชามีแต่ความขัดแย้ง รุกล้ำแผ่นดินไทย ละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย เพราะกัมพูชายึดถือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000

“สมควรยกเลิก MOU 2543 ได้แล้ว”

โดยก่อนหน้านี้ นายปานเทพ เคยระบุไว้ว่า ประเทศไทยและกัมพูชาได้มีการจัดทำหลักเขตแดนมีจำนวนทั้งสิ้น 73 หลักเสร็จสิ้นไปหมดแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยหลักเขตแดนที่ 1 ถูกจัดทำขึ้นที่ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ แล้วจัดทำหลักเขตแดนอื่นๆ ตามลำดับไปใน “ทิศตะวันตก” จากช่องสะงำ จนไปสิ้นสุดหลักเขตที่ 73 ที่จังหวัดตราด ส่วน “ทิศตะวันออก” จากช่องสะงำ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นขอบหน้าผาพนมดงรักมีความยาว 195 กิโลเมตร “ไม่ต้องมีหลักเขตแดนใดๆ เลย” เพราะมีขอบหน้าผาตามธรรมชาติเป็นสันปันน้ำตามธรรมชาติ จึงไม่ต้องทำหลักเขตแดนใดๆ

‘บิ๊กอ้วน’ เมินเขมร! ตั้งทีมฟ้องศาลโลก ยัน ‘ไทย’ มีมาตรการรับมือ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ทางกัมพูชาตั้งคณะกรรมการ จัดทำเอกสารเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลโลก เกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา 4 พื้นที่ ได้แก่ ช่องบก, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย โดยระบุว่า ไม่เป็นไร ต่างคนต่างทำหน้าที่ การจะฟ้องศาลโลกเป็นหน้าที่ของกัมพูชา ส่วนไทยเราก็มีมติไม่รับอำนาจขอบเขตศาลโลก ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ทุกอย่างให้ว่ากันไปตามกระบวนการ

เมื่อถามว่าปัญหายังมีหลายจุด พูดคุยไม่จบ จะมีปัญหาในการประชุม JBC หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวยอมรับว่า ปัญหาคงไม่จบเสียทีเดียว ต้องใช้เวลาพูดคุยกันในส่วนที่เห็นไม่ตรงกัน แต่ในเวทีเจบีซี ที่เราได้พูดเราได้พูดชัดเจนแล้วว่า จะพูดเฉพาะในกรณีที่เป็นปัญหาต้องเคลียร์กันเป็นส่วนๆไป และคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเป็นข้อตกลงร่วมกัน

จากท่าทีของกัมพูชาในตอนนี้ทำให้เราต้องคงมาตรการเปิด-ปิดด่านไปอีกนานเท่าไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า จากการสั่งการซึ่งผู้บัญชาการทหารบกและแม่ทัพภาคที่ 2 รับทราบตรงกันว่าเราจะยังคงดำเนินการตามมาตรการของแต่ละพื้นที่ ขณะนี้เรายังไม่ได้ยกระดับมาตรการ และย้ำว่าเราไม่ได้ปิดด่าน แต่เปิด-ปิดตามเวลาและจำกัดคน ส่วนที่มีการเผชิญหน้าเราก็ได้มีการปรับกำลัง ขณะที่พื้นที่อื่นยังคงมาตรการเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้น เพราะเราได้ให้ทหารทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยกันในพื้นที่มากขึ้นอีกทั้งมีข้อเสนอให้จัดกิจกรรมร่วมกัน ลาดตระเวนด้วยการคิดว่าบรรยากาศโดยรวมน่าจะดีขึ้น

กรณีที่กัมพูชาจะนำเรื่องร้องต่อศาลโลกจะเข้าข่ายลักษณะเดียวกับกรณี “เขาพระวิหาร” ก่อนหน้านี้หรือไม่ ฝ่ายความมั่นคงได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างไร รมว.กลาโหม กล่าวว่า เขาพระวิหารเป็นอีกเรื่อง ไม่เกี่ยวกับกรณีนี้ แต่อาจจะเป็นบทเรียนบางส่วนได้ ซึ่งเราจะไม่นำเรื่องนั้นมาพูดถึง แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้

ส่วนข้อเสนอของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ที่อยากให้เปลี่ยนหัวหน้าคณะเจรจาพูดคุยกับทางกัมพูชาเนื่องจากเป็นคนเดียวกับที่คุยสมัยเขาพระวิหารนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า คนที่อยู่กับปัญหาและอยู่กับพื้นที่ น่าจะรู้ดีที่สุดว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ก็ต้องให้ส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพิจารณา รัฐบาลจะรับฟัง ข้อเท็จจริงและเหตุผล เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าพึงใจหรือว่าใครชอบใคร อยากได้ใคร เป็นเรื่องที่ว่าประเทศชาติมีปัญหาอยู่ตรงไหน ขอให้นึกถึงผลประโยชน์ตรงนี้เยอะๆ

ถามต่อว่าการที่กัมพูชาฟ้องศาลฝ่ายเดียวจะมีผลอะไรกับไทยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้พูดยาก คนฟ้องก็ฟ้องไป คนที่ไม่ยอมรับก็ไม่ไปเข้าสู่กระบวนการ แต่หากมีเงื่อนไขอื่น ก็เป็นเงื่อนไขทาง กฎหมาย แต่ไม่อยากจะพูดตรงนี้ เรื่องของกฎหมายให้กรมสนธิสัญญาต่างประเทศเป็นฝ่ายพูดจะดีกว่า แต่เราได้เตรียมความพร้อมและแนวทางในเรื่องนี้ไว้แล้ว เพราะประเทศวิกฤต แบบนี้ไม่เตรียมได้อย่างไร ส่วนจะเตรียมไว้อย่างไรขอให้ฟังการชี้แจงเป็นระยะ

นายกฯ ถกร่วมผู้ว่าฯ 7 จว.ชายแดน สั่ง มทภ.2 เคลียร์คิวเปิดด่านพรมแดน

วันนี้ (11 มิ.ย.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย รวมถึง พล.อ.ณัฐพล​ นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ ติดตามและประเมินภาพรวมของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมมอบนโยบายให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัดที่ติดกับชายแดนไทย-กัมพูชา คือ จ.ตราด จันทบุรี สระแก้ว อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และ จ.สุรินทร์ เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงต้องให้ความรู้กับนักเรียนเรื่องหลุมหลบภัย โดยต้องการให้บรรจุอยู่ในเป็นการสอนด้วย

นายกฯ ยังกล่าวของคุณแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่และทราบถึงแรงกดดันต่างๆ จึงพยายามเน้นย้ำเรื่องสันติภาพและความสงบสุข เพราะหากเกิดเหตุรุนแรงขึ้นจริงก็จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ล่าสุดเห็นตรงกันว่าอยากให้ทั้ง 2 ประเทศเกิดความสงบสุข​และตนยืนยันในการรักษาอธิปไตยประเทศของเราไว้​

ขณะเดียวกัน กระทรวง​กลาโหม​และกระทรวงมหาดไทยได้บูรณาการการทำงานร่วมกัน ซึ่งเวลาเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ต้องทำงานแบบบูรณาการเท่านั้น จึงจะเห็นผลชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“มหาดไทยเป็นบ้าน ทหารเป็นรั้ว​ ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ​ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าทีม​ในการดูแลบ้าน​แต่ละจังหวัด​ ประสานงานร่วมกัน​ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรบ้างในพื้นที่ชายแดนและในบ้านของเรา​ มีที่ปลอดภัยพอหรือไม่ หรือมีปัจจัย 4 พอหรือไม่​สำหรับคนในบ้าน ขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเต็มที่​และขอให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

นายกฯ ย้ำว่า การพูดคุยระหว่างประเทศจะต้องเคารพกติกา​หรือข้อตกลงระหว่างประเทศ​ ไม่ว่าจะในระดับแม่ทัพหรือทหาร รัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะสื่อสารให้ตรงกัน​และไม่เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ

ทั้งนี้ พยายามที่จะทำเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ขอบคุณหน้างานที่ประสานงานกันจนเกิดผลสำเร็จ ขอบคุณทั้งกระทรวงกลาโหมและมหาดไทย​ที่ร่วมมือกันรักษาอธิปไตยและความสงบสุขของบ้านเมืองไว้​ ต้องขอชื่นชมทุกคน

นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อให้เข้าใจตรงกัน​ ป้องกันการเข้าใจผิดและไม่ปล่อยข่าวปลอม​ พร้อมระบุว่าแม้บางครั้งจะมี IO ปล่อยข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิด​และเกิดความวุ่นวายในสังคม จึงอยากให้เร่งแก้ไขความเข้าใจผิด เพราะไม่อยาก​ให้มีการขยายความกันไปมากกว่านี้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพร้อมสนับสนุน​ทุกหน่วยงาน และที่พูดคุยทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นในระดับผู้นำหรือกองทัพ ยืนยันเป้าหมายเดียวกัน​คือต้องการรักษาสันติภาพไว้​ ส่วนเรื่องที่จะตกลงกัน ​ก็ต้องเคลียร์กันเป็นเรื่องๆ ไป

Related Articles