“วิโรจน์” อ่านเกม “ฮุนเซน” ปั่นไทย-ยุแยงให้แตกแยก หวังเกิดรัฐประหาร โดดเดี่ยวไทยเวทีโลก เตือนรัฐบาลอย่าหวั่นไหว หลงเป็นเหยื่อ “บิดาแห่งสแกมเมอร์” บอกสงสัยคนใกล้ตัวนายกฯ เอี่ยวฟอกเงินกัมพูชา
วันนี้ (27 มิ.ย.) ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ปล่อยคลิปแผนเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีโยงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ปกติแล้วความขัดแย้งระหว่างประเทศ เราก็กังวลจะมีการปล่อยอาวุธ หรือปล่อยโดรนสังหาร แต่กัมพูชากลับปล่อยคลิป ปั่นกระแสทุกวัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่
และเป็นที่สังเกตว่ามีความพยายามจะเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี จึงเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรหวั่นไหว หรือตื่นเต้น หรือหลงเป็นเหยื่อสมเด็จฯ ฮุนเซน ซึ่งเป็นผู้นำสายคอนเทนต์ และบิดาแห่งสแกมเมอร์แห่งภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดังนั้น ต่อให้มีคลิปเสียงก็จะต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนก่อน อีกทั้งการที่ “ฮุนเซน” ทำทีเป็นสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้เป็นการสนับสนุนจริง แต่เป็นการยุแยง เพื่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างคนไทย และเป็นการสนับสนุนการทำรัฐประหาร ซึ่งจะนำไทยไปสู่ความไม่ชอบธรรมในเวทีโลก ในข้อพิพาทระหว่างกัมพูชากับไทย และจะโยงถึงการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐ ซึ่งจะทำให้เกิดความหายนะทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นทันที
“ถ้าเราถกเถียงกันด้วยเหตุด้วยผล ผมว่ามีสิทธิ์แต่ถ้าเราต้องมานั่ง ทะเลาะกันเพราะการปั่นของฮุนเซน ผมคิดว่าไม่ใช่” นายวิโรจน์ กล่าวและว่า
นายกรัฐมนตรีควรรับมือด้วยการมีโฆษกประจำตัว หรือคณะทำงานของกระทรวงการต่างประเทศออกมาชี้แจงกับทูตานุทูตให้ทันท่วงที ควรวางตัวให้ชัดเจน เพราะต้องต่อสู้กับบิดาแห่งสแกรมเมอร์ ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรต้องประท้วง องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก็มีอยู่ในประเทศไทย รวมถึงสถานทูตต่างๆ แต่ก็เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงไปแล้ว แต่ควรทำต่อเนื่อง
สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อกังขาถึงบทบาทของนายมาริษ เสงียมพงศ์ รมว.ต่างประเทศนั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า เราควรมี รมว.ต่างประเทศ ที่เก่งกว่านี้ โดยต้องหาคนที่ไวต่อสถานการณ์และกล้าตัดสินใจ เพราะวันนี้ต้องรับมือกับคนที่วางแผนและไตร่ตรองล่วงหน้า เขียนบทมาโดยตลอด
นายวิโรจน์ ตั้งข้อสังเกตว่า ความขัดแย้งของผู้นำกัมพูชากับนายทักษิณ น่าจะมีการตกลงกันไม่ได้ และอาจจะมีความกังวลในเรื่องของการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งฐานใหญ่สุด อยู่ในกัมพูชา ดังนั้นนายกรัฐมนตรี ควรให้ ป.ป.ง. และตำรวจไซเบอร์ ทำงานร่วมกับข้อมูลของต่างประเทศ ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และเมื่อถึงเวลาข้อมูลตกผลึกแล้วควรยึดเงิน และให้ขึ้นแบล็กลิสต์กัมพูชา
โดยวางคณะทำงานที่ชัดเจน เพื่อปักหมุดหมายที่จะลงนามสัตยาบันอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งเราสามารถขอให้ต่างประเทศที่เป็นภาคีสมาชิก ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนประสานงานกับต่างประเทศในการจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่สมเด็จฯ ฮุนเซน กลัวที่สุด อย่างไรก็ตาม ก็ต้องตั้งคำถามว่าเหตุใดนายกรัฐมนตรีจึงไม่ดำเนินการ หลังฮุนเซนเปิดเผยข้อมูลว่ามีนักการเมืองไทย 7 คน ไปฟอกเงินที่กัมพูชา “ขอตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเป็นบุคคลใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี หรืออยู่ในเครือข่ายที่นายกฯ รู้จัก หรือไม่ก็อาจจะเป็นอดีตรัฐมนตรี ซึ่งหากเป็นรัฐมนตรีก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะมีข้อหาปกปิดบัญชีทรัพย์สินจาก ป.ป.ช. และถ้าเงินนั้นมาจากการทุจริตอีก จะถูกยึดอายัดทรัพย์ได้อีก แล้วถ้านายกฯ ไปแต่งตั้งคนเหล่านี้ ก็อาจจะมีความผิดทางจริยธรรม และมีจุดจบเหมือนนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จึงมีการตั้งข้อสังเกตในที่ประชุม กมธ.การทหารว่าด้วยประเด็นเหล่านี้ ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีไม่จริงจังในการจัดการ ทั้งที่เส้นทางการเงินพุ่งเป้าไปที่กระเป๋าของสมเด็จฯ ฮุนเซน และฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา ซึ่ง แม่นยำและได้ผล” นายวิโรจน์ กล่าว