“ลุงป้อม” แย้มพร้อมเป็นนายกฯ ผ่าทางตัน บอกเสนอตัวเองได้ แม้มี สส.ไม่ถึง 25 ชี้ “พปชร.” มี 40 เสียง เหตุนับจากวันเข้าสภาฯ ย้ำ พปชร.ค้านสุดซอย! ไม่เอากาสิโน-นิรโทษกรรมทุกรูปแบบ ประกาศชัดพร้อมลงชื่อซักฟอกนายกฯ ปมคลิปเสียง ที่มีความเสี่ยงขายชาติ
ที่พรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 2 ก.ค. พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงว่า วันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียง
พล.อ.ประวิตร กล่าวกับสมาชิกพรรคตอนหนึ่งว่า ขอบคุณพี่น้องประชาชนหลายแสนคนที่ออกมาแสดงพลังรักชาติอย่างสันติในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นหน้าที่ และเป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนคนไทย ต้องพึงรักษาผืนแผ่นดินนี้ ไม่ยอมเสียให้แก่ประเทศหนึ่งประเทศใดแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
โฆษก พปชร.กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีกระแสข่าวว่าร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ซึ่งในเรื่องนี้พรรคมีมติออกมาเป็นเอกฉันท์ ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.นี้ โดยพรรคยืนยันจะไม่ยอมให้มีการเปิดบ่อนการพนันเสรีเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยโดยเด็ดขาด ฉะนั้นหากมีการลงมติ หรือโหวตใดๆ พรรคจะแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วย
พล.ต.ท.ปิยะ ระบุว่า พล.อ.ประวิตรได้แจ้งให้กรรมการบริหารพรรคและ สส.ทุกคน หากมีการลงมติหรือโหวตใดๆ พรรคพลังประชารัฐจะโหวตไม่เห็นด้วยโดยเด็ดขาด ส่วนที่มี สส.พรรคเพื่อไทยบางคน ระบุว่าจะมีการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้ามาแทนที่นั้น พรรคพลังประชารัฐเองก็ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมในทุกๆ มิติ โดยเฉพาะการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับ ม.112 หรือกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ
ส่วนกรณีพรรคภูมิใจไทยได้มีการประสานมายังพรรคร่วมฝ่ายค้านทุกพรรค ในการลงนามยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี กรณีคลิปเสียงกับผู้นำกัมพูชา และมีความเสี่ยงในการสูญเสียอธิปไตยและศักดิ์ศรีของประเทศไทยนั้น ที่ประชุมพรรคมีมติเห็นด้วยกับพรรคภูมิใจไทย และประกาศชัดเจนว่าพร้อมลงลายมือชื่อในญัตติดังกล่าว

นอกจากนี้ ในคดี ม.112 ซึ่งอยู่ในกระบวนการสืบพยานของศาลฯ ก็มีความเป็นไปได้ว่าศาลจะลงโทษผู้กระทำผิดตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ กรณีนี้ทางพรรคพลังประชารัฐจึงเห็นว่า การพยายามผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อกลุ่มบุคคล หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง
ต่อมา พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวถึงกรณีที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้รับสัญญาณจากพรรคภูมิใจไทยให้สนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อผ่านทางตันว่า “ให้เขาเสนอก่อน ผมก็เสนอของผมได้”
เมื่อถามย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐมีเสียงไม่ถึง 25 เสียง จะเสนอตัวเองเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้อย่างไร พล.อ.ประวิตร ให้เหตุผลว่า เพราะเมื่อวันเลือกตั้งเรามี สส. 40 คน นับอันเดิม
ถามย้ำว่า นายอนุทินได้ติดต่อมาขอเสียงสนับสนุนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่เจอกันเลย
กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรียุติการปฏิบัติหน้าที่หน้าที่ชั่วคราว ยังไม่ได้คุยกับใครใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังเลยๆ พร้อมส่ายหัว
ทั้งนี้ ในสายตาของ พล.อ.ประวิตร ประเทศไทยจะไปต่ออย่างไร พล.อ.ประวิตร ย้อนถามกลับว่า “แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร”

เมื่อถามต่อว่า ต้องเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเลยใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ตอบกลับว่า ผมให้ลาออกไปแล้ว ด้าน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงข้อกฎหมายในการเสนอชื่อบุคคลชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยชี้ว่า พล.อ.ประวิตร ยังมีคุณสมบัติครบที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ เพราะยึดเสียงของ สส. เมื่อครั้งที่ได้รับเลือกตั้งเมื่อปี 2566 คือจำนวน 40 เสียง เป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนด หมายความว่าพรรคพลังประชารัฐ มีเสียง สส.ครบเกณฑ์แล้ว
ต่อมา สส.ในพรรคเสียชีวิต ทำให้จำนวนไม่ครบเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนด ถือว่าไม่มีผลที่ทำให้แคนดิเดตของพรรคพลังประชารัฐขาดคุณสมบัติ เช่นเดียวกัน หากพรรคใดได้ สส.ไม่ครบเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น ก็ไม่สามารถไปเกณฑ์ สส.เข้ามาสังกัด เพื่อให้เสียงครบตามจำนวน