Home Feature เลี้ยงดูปูเสื่อโจรผ้าเหลือง! ‘ฮุนมาเนต’ ไหว้สวย ‘ตาสุจย์’ พระเก๊ใจเขมร กังขาเชิดชู ‘ขอทาน‘ วีรสตรี

เลี้ยงดูปูเสื่อโจรผ้าเหลือง! ‘ฮุนมาเนต’ ไหว้สวย ‘ตาสุจย์’ พระเก๊ใจเขมร กังขาเชิดชู ‘ขอทาน‘ วีรสตรี

by admin

“ฮุนมาเนต” เปิดทำเนียบฯ ต้อนรับอบอุ่น “ตาสุจย์” ยันเลี้ยงดูปูเสื่อ-ให้สัญชาติ เชิดชู “พระเก๊-ใจเขมร!” ช่วยสั่งสอนธรรมะ ปชช. แม้คณะสงฆ์ไทยมีคำสั่ง “ปัพพาชนียกรรม” ไล่พ้นสมณเพศ เหตุมีพฤติกรรมปลุกปั่นสร้างความขัดแย้ง-ยั่วยุให้ทหารเขมรยิงคนไทย แถมวิจารณ์ตำหนิชาวสุรินทร์ จนชาวบ้านรุมประณามไร้ที่ซุกหัวนอน สื่อขแมร์! มั่นหน้าปูดเฟคนิวส์ อ้างอยู่ไทยไม่ได้ เพราะไปพูดว่าคนอีสานใต้มีบรรพบุรุษเป็นเขมร พร้อมเคลมดินแดนไทยเป็น “เขมรเหลื่อม” สุดกังขา! ท่าที “ผู้นำกัมพูชา” เชิดชูขอทานเป็นวีรสตรี จ่อสร้างอนุสาวรีย์ “หญิงแขนด้วน” ซ้ำหนุนหลัง “โจรผ้าเหลือง”

กรณีของ “หลวงตาสุจ” อดีตพระนักเทศน์ชื่อดังที่เคยจำพรรษาในจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ ได้กลายมาเป็นประเด็นอีกครั้ง

หลังจากก่อนหน้านี้ได้ทำการไลฟ์สดผ่านโซเชียลมีเดียหลายครั้ง โดยมีเนื้อหาวิจารณ์และตำหนิชาวสุรินทร์อย่างรุนแรง รวมถึง “การกล่าวถ้อยคำยุยงให้ทหารกัมพูชายิงคนไทย” ในบริบทของความขัดแย้งบริเวณปราสาทตาเมือนธม รวมถึงการแสดงออกถึงการสนับสนุนฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากในหมู่คนไทย นำไปสู่การประณามอย่างรุนแรง ก่อนที่จะมีคำสั่งจากคณะสงฆ์ “ให้ปลดพ้นสมณเพศ”

สำหรับสมณเพศของ “หลวงตาสุจย์” หรือ พระมหานรินธร ปสนฺโน ได้สิ้นสุดลงแล้วอย่างเป็นทางการ เมื่อ พระครูสุตธรรมานุวัตร เจ้าคณะตำบลกระสัง (ธรรมยุต) ได้ลงนามในคำสั่ง “ปัพพาชนียกรรม” อันเนื่องมาจากพฤติการณ์ที่คณะสงฆ์ พิจารณาแล้วว่า ขัดต่อพระธรรมวินัยและสร้างความเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง

ซึ่งการการกระทำและคำพูดดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการละเมิด “โลกวัชชะ” หรือสิ่งที่โลกติเตียน จากพฤติการณ์การไลฟ์สดที่มีเนื้อหาปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง และสร้างความแตกแยกในสังคมไทย จึงให้พ้นจากความเป็นพระสงฆ์โดยสมบูรณ์ทันที

ภายหลังการถูกปัพพาชนียกรรมและเผชิญกับการประท้วงขับไล่จากชาวบ้านในพื้นที่ “ตาสุจย์” ได้ประกาศว่าจะไม่กลับมาเหยียบประเทศไทยอีก

สิ่งที่สร้างความประหลาดใจและข้อกังวลในหมู่คนไทยคือ ท่าทีของรัฐบาลกัมพูชา โดยเฉพาะ สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ได้แสดงการต้อนรับ “ตาสุจ” อย่างอบอุ่นและเป็นทางการ

โดยสำนักข่าว Fresh News ของกัมพูชา ได้รายงานการพบปะระหว่างฮุน มาเนต กับ “ตาสุจย์” ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยฮุน มาเนต ได้กล่าวถึงความหวังว่า “พระสุจย์” จะช่วยอบรมสั่งสอนธรรมะให้กับชาวกัมพูชา

ซึ่งท่าทีดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการ “เลี้ยงดูปูเสื่อโจรผ้าเหลือง” หรือให้การสนับสนุนบุคคลที่มีพฤติกรรมสร้างความแตกแยกและยุยงให้เกิดความรุนแรง

สื่อกัมพูชายังอ้างว่า “พระสุจย์” เกิดในประเทศไทยซึ่งในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขมรโบราณ ซึ่งทั้งตัว “พระสุจย์” และชาวไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นถูกเรียกว่า “เขมรเหลื่อม” (เขมรบน) สามารถพูดภาษาเขมรได้คล่อง

Fresh news อ้างอีกว่า ในช่วงที่เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย “พระสุจ” กล่าวถึงบรรพบุรุษชาวเขมรผู้อยู่อาศัยจำนวนมากในภูมิภาคนี้ โดยเน้นย้ำว่าชาวไทยจำนวนมากในจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ ล้วนมีเชื้อสายเขมร ความจริงทางประวัติศาสตร์ดังกล่าวได้จุดชนวนความโกรธแค้นในหมู่ชาวไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เคยเป็นดินแดนของกัมพูชา ส่งผลให้พวกเขาเลือกปฏิบัติต่อพระภิกษุรูปนี้และห้ามไม่ให้กลับเข้ามาในประเทศไทยอีก

นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้ตอบรับคำขอแล้วอย่างเป็นทางการ และอนุญาตให้พระภิกษุรูปนี้พำนักอยู่ในกัมพูชา หลังเดินทางจากแคนาดาถึงกัมพูชาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 โดย “อดีตพระสุจย์” แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับการต้อนรับอันอบอุ่น และได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ในกัมพูชาในฐานะพลเมืองกัมพูชาต่อไปได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “อดีตพระสุจย์” ปัจจุบันอายุ 60 ปี เคยสังกัดวัดป่าหนองแคร่ ต.กระสัง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เป็นพระนักเทศน์สายฮาชื่อดังแห่งอีสานใต้ เคยบวชอยู่ จ.สุรินทร์หลายวัด แต่มีปัญหากับทุกวัด จนหนีไปอยู่บุรีรัมย์และโด่งดังที่นั่น หลังจากนั้นก็ไปโด้งในกัมพูชาด้วยลีลาการเทศที่ตลกโปกฮา พูดไทยปนเขมรชาวบ้านชอบ

นอกจากนี้ พระสุจย์เคยมีปัญหากับพระผู้ใหญ่ที่จังหวัดสุรินทร์ที่สั่งให้พระสุจย์ออกจากอุทยานพนมสวาย จ.สุรินทร์ เพราะไปตั้งสถานธรรมอยู่ในเขตอุทยาน พระสุจย์จึงย้ายจากสุรินทร์มาอยู่บุรีรัมย์

เมื่อเกิดเหตุขัดแย้งไทย-กัมพูชาขึ้นมา พระสุจย์ได้ไลฟ์เป็นภาษาเขมรว่า ตนเกลียดคนสุรินทร์ เพราะมีปัญหากับเขมรที่ปราสาทตาเมือนธม พร้อมบอกให้ทหารกัมพูชายิงคนสุรินทร์ให้ตายหมด

ต่อมา เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.68 ป่าหนองแคร่ ต.กระสัง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นวัดที่หลวงตาสุจย์สังกัดอยู่ ได้ประกาศปัพพาชนียกรรม (ขับไล่) ขับพระสุจย์ออกจากวัดเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากได้ละเมิดข้อวัตรปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่พระสงฆ์พึงปฏิบัติ ในเรื่องของความสงบเรียบร้อยของวัดและศาสนา ยุยงให้พุทธศาสนิกชน อุบาสกอุบาสิกาให้เกิดความแตกแยกความสามัคคีในชุมชนและระดับประเทศ เป็นที่เสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์อย่างมาก

ทั้งนี้ อดีตพระสุจย์ได้เดินทางถึงกัมพูชา เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 2 ก.ค. และได้รับการต้อนรับที่สนามบินนานาชาติกรุงพนมเปญ โดยนายสุข เปญวุท รองผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ มาต้อนรับ เมื่อมาถึงพระสุจย์ได้ประกาศว่า ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับประเทศไทย และคาดว่าได้ประจำอยู่ที่วัดนาควัน ในเขตตวลโกก กรุงพนมเปญ

นอกจากการต้อนรับ อดีตพระสุจย์แล้ว ท่าทีของรัฐบาลกัมพูชายังรวมถึงการยกย่อง “นางวัน นารี” หรือ “หญิงแขนด้วน” ซึ่งเป็นหญิงกัมพูชาที่เคยลักลอบเข้ามาขอทานและกระทำผิดกฎหมายในประเทศไทย อีกทั้งมีการเชื่อมโยงกับอาชญากรข้ามชาติที่พัวพันกับการค้ามนุษย์ โดยมีกระบวนการนำคนพิการเข้ามาขอทาน

ขณะที่ Fresh News และสื่อกัมพูชา ยังได้ยกย่อง “นางวัน นารี” ให้เป็น “วีรสตรีผู้กล้า” ที่ลุกขึ้นสู้ทหารไทย และมีกระแสข่าวเตรียมสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเป็นเกียรติแก่เธอ

จากท่าทีดังกล่าวอาจถูกตีความว่า เป็นการส่งเสริมและยกย่องการกระทำที่ผิดกฎหมาย การละเมิดอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน และอาจเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นการจงใจปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง และสร้างความตึงเครียดในระยะยาวต่อเสถียรภาพและความร่วมมือในภูมิภาค.

Related Articles