‘รอง ผวจ.ภูเก็ต’ แจงปมฝรั่งทำร้ายหมอ จ่อเพิกถอนวีซ่า ‘เดวิด’ ส่อเข้าข่ายมาเฟีย เหตุมีพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม ลั่นหากทำผิดพร้อมขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ ยังรอผลตรวจเอกสารสิทธิที่ดิน-จี้สอบปางช้าง
นายกองเอก อดุลย์ ชูทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงกรณี รมว.มหาดไทย มีคำสั่งให้จังหวัดภูเก็ตดำเนินการตรวจสอบมาเฟียต่างชาติในพื้นที่ โดย ผวจ.ภูเก็ต ได้สั่งการนายอำเภอทั้ง 3 อำเภอ และหน่วยงานด้านความมั่นคงตรวจสอบพฤติกรรมชาวต่างชาติ ว่าใครเข้าข่ายมาเฟียหรือผู้มีอิทธิพล ในการคุกคามข่มขู่ผู้ประกอบการที่ผิดกฎหมายต่างๆ โดยให้เร่งตรวจสอบและขึ้นบัญชีมาเฟีย และให้แต่ละอำเภอรีบรายงานมา เพื่อจะมีการดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองในการเพิกถอนวีซ่าชาวต่างชาติที่มีการกระทำผิดกฎหมาย โดยคณะกรรมการชุดนี้จะพิจารณาหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อเสนอให้ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ‘ไม่ต่อวีซ่า’ หรือ ‘เพิกถอนวีซ่า’ ตลอดจนขึ้นบัญชีดำ ไม่ให้มีการกลับเข้ามาในประเทศไทยอีก ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการทางกฎหมาย ต้องใช้เวลา
ส่วนกรณี นายเดวิด ชาวสวิสเซอร์แลนด์ที่มีการทำร้ายร่างกายแพทย์หญิงชาวไทยนั้น รอง ผวจ.ภูเก็ต กล่าวว่า หากดูตามสื่อต่างๆ ที่มีการนำเสนอข่าว น่าจะเข้าข่าย ‘มาเฟีย’ เพราะมีพฤติกรรมข่มขู่คุกคาม ทำให้ผู้อื่นเกิดความหวาดกลัว และให้ตรวจสอบต่อว่าทำผิดกฎหมายหรือไม่
และจากการสอบถามไปยังตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ต พบว่า นายเดวิด อยู่ในภูเก็ตโดยใช้วีซ่านักธุรกิจที่เข้ามาลงทุน และจดทะเบียนมูลนิธิในภูเก็ต ซึ่งทางจังหวัดภูเก็ตได้ทำหนังสือตรวจการจดทะเบียนมูลนิธิไปยังนายทะเบียนว่า ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หากดำเนินการไม่ถูกต้องและไม่มีการเคลื่อนไหว จะต้องเพิกถอนการจัดตั้งมูลนิธิ โดยนายทะเบียนจะต้องทำหนังสือถึงอัยการเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนมูลนิธิ และในส่วนของการประกอบธุรกิจปางช้าง กำลังตรวจสอบว่าดำเนินการเป็นไปตามที่กฎหมาย กำหนดหรือไม่ และวีซ่าที่ตรวจสอบไปทาง ตม.ภูเก็ต ทราบว่าจะครบกำหนดในวันที่ 13 มี.ค.นี้ จะพิจารณาว่าจะต่อวีซ่าหรือไม่ ประเภทไหนอย่างไร แต่ถ้าการพิจารณาคดีเสร็จ หลังวันที่ 13 มี.ค.นี้ จะต้องต่อวีซ่าเป็นผู้ต้องหาในคดี
ส่วนกรณีปัญหาที่ดินสาธารณะในพื้นที่นั้น รอง ผวจ.ภูเก็ต ยืนยันว่า ต้องเป็นสมบัติของชาวไทยทุกคนสามารถเข้าไปใช้ได้ ไม่มีผู้ใดจะสามารถยึดถือครอบครอง ส่วนที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุการณ์และเป็นประเด็น ขณะนี้เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ออกคำสั่งให้มีการรื้อถอนบันไดหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีการรุกล้ำที่สาธารณะ ให้มีการรื้อถอนภายใน 30 วัน โดยมีคำสั่งเมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และเมื่อครบ 30 วัน ไม่มีการรื้อถอน เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะเข้าไปรื้อถอนเองและเรียกร้องค่าเสียหายในการดำเนินการได้ ส่วนหลักฐานในที่ดิน ได้ให้กรมที่ดินตรวจสอบหลักฐานต่างๆ ว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร และถ้าที่มาของที่ดินไม่ถูกต้อง ก็จะมีการพิจารณาตามกระบวนการของหลักฐานในที่ดินต่อไป จังหวัดยังคงยืนยันในการให้ความเป็นธรรมและยืนยันที่จะคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของคนไทย