“เศรษฐา” บุก สอท. จี้ตำรวจไซเบอร์ล่าตัวการใหญ่ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์-พนันออนไลน์” ขีดเส้นตายต้องชัด ภายใน 30 วัน ชี้เป็นภัยความมั่นคง อย่าผักชีโรยหน้าจับแค่ปลาซิวปลาสร้อย กำชับเข้ม! ต้องทำงานร่วมกระทรวงดีอี ลั่น “อาชญากรรมไซเบอร์” เป็นเรื่องซีเรียส เลิกแก้ตัวหรือโยนความผิดใส่กัน
วันนี้ (1 เม.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เดินทางมามอบนโยบายและกำชับการปฏิบัติงานของตำรวจในสังกัด บช.สอท.
โดยนายกฯ กล่าวว่า ตนคิดว่าถึงเวลาที่ตนจะต้องมาที่นี่ คงไม่ต้องอารัมภบทอะไรมากมาย เชื่อว่าเป็นที่ประจักษ์ดีอยู่แล้วว่า บช.สอท.ถูกสังคมเพ่งเล็งเยอะมาก ต้องยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีการย้ายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 ท่าน เพื่อให้ขบวนการยุติธรรมเดินไปได้อย่างถูกต้อง จะต้องไม่มีการก้าวก่ายและก้าวล่วง และให้ความเป็นธรรมกับท่านทั้ง 2 ด้วยเหมือนกัน ตนเชื่อว่าทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ โดยเฉพาะรักษาการ ผบ.ตร. รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นเรื่องที่ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องจัดการให้หมดสิ้นไป
“หากอ่านหนังสือพิมพ์ฟังข่าวสารมาบอกว่า ผู้บัญชาการคนนั้นเป็นเด็กคนนั้นคนนี้ มันไม่แฟร์สำหรับทั้ง 2 คน แต่ว่าไม่มีอะไรตอบสังคมได้ดีกว่าการปฏิบัติของทุกคน และหน่วยงานต่างๆ โดยงานที่ดูแลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหวยออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนัน และเฟกนิวส์ทั้งหลายเหล่านี้ เชื่อว่ากระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ซึ่งเราทุกคนในที่นี้ มีความเกี่ยวข้อง ต้องมีความรับผิดชอบให้พี่น้องประชาชนอยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีได้รับความเป็นธรรม ในการถูกคุ้มครอง ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีไปไกลมาก และการที่พี่น้องประชาชนถูกมอมเมา ถูกหลอกลวง ถูกต้มตุ๋น บางคนเก็บเงินมาทั้งชีวิตถูกคอลเซ็นเตอร์หลอกไปหมดเลย บางคนเก็บเงินไว้รักษาพ่อแม่และเก็บเงินไว้ส่งลูกเรียนต่อ หรือส่งลูกเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอก นี่ไม่ใช่เป็นปัญหาของการที่เขาถูกหลอกลวง แต่เป็นปัญหาความมั่นคงของประเทศด้วย” นายกฯ กล่าวและว่า
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ที่จะมาพูดเล่นๆ กัน หรือมาสร้างภาพ ต้องให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยในระยะเวลาอันใกล้ เราไม่มีเวลาแล้ว เรื่องการโยกย้ายต่างๆ ผ่านไปแล้ว เรื่องกระบวนการยุติธรรมเราได้ทำไปแล้ว ตนคิดว่าเป็นเรื่องวาทกรรม วันนี้ทำให้เกิดเป็นรูปธรรมดีกว่า
ทั้งนี้ อย่าได้สนใจใคร จะเป็นใครอะไรยังไง เชื่อว่าไม่มีใครใหญ่กว่าพี่น้องประชาชน ผมต้องการทำงานโดยเร็ว และไม่ใช่รายเล็ก ตนต้องการรายใหญ่ เชื่อว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้รู้อยู่แล้ว ในหน่วยงานของท่านใครที่ทำผิดกฎหมายอยู่บ้าง ใครที่พวกท่านสามารถไปตามจับสืบมาได้ ส่วนเรื่องคดีความของทั้ง 2 ท่านที่ถูกย้าย เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปตามหน้าที่
“วันนี้ที่มาที่นี่ ตนไม่ได้มาว่า แต่มาให้กำลังใจ และบอกว่าไม่มีใครใหญ่กว่าประชาชน เราเองต้องเดินหน้า ไม่มีเวลา ที่จะต้องมาหาเหตุผลว่าทำไมถึงทำไม่ได้ เชื่อว่าเราอยู่ในบริบทที่จะมาอธิบายว่าการทำไม่ได้ มันไม่ใช่ มันต้องทำให้ได้ด้วยเหตุผล จับรายใหญ่ให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะตอบสังคมลำบาก เพราะเป็นปัญหาความมั่นคงของประเทศ”
หน่วยงานของท่านสังคมเพ่งเล็ง ผมยืนยันไม่ปกป้องจะไม่นิ่งเฉย หากไม่มีผลงานเกิดขึ้น ผมว่ามีปัญหาแน่นอน เราอยู่พวกเดียวกัน ฝ่ายเดียวกัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงนักการเมืองหรืออะไรก็ตามจะมาครอบงำ วันนี้เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ผลงานของเราจะเป็นที่ประจักษ์ ขอเป็นนิมิตหมายอันดีและเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ ของการที่เราเข้ามาดูแลพี่น้องประชาชน
“ภายใน 30 วันนี้ ชัดเจนว่าจะจับอะไรให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหวยออนไลน์ หรืออะไรที่เกิดขึ้น ซึ่งพี่น้องถูกหลอกลวงทุกวันนี้ยังมีอยู่ ขอเลยเรื่องนี้จะต้องทำงานกันอย่างชัดเจนและใกล้ชิด เพราะเทคโนโลยีไปไกลมาก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมที่จะทำงานร่วมกัน ผมเจอรัฐมนตรีดีอีในวันที่ 2 เม.ย.นี้ จะกำชับอย่างเด็ดขาดว่าต้องทำงานร่วมกัน อย่ามีการโยนความผิดซึ่งกันและกัน อย่าบอกว่าคนนี้ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่มีนะตรงนี้ ผมเชื่อว่ามานั่งตรงนี้แล้ว รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ พวกท่านเองก็ต้องให้ความสำคัญ อยากให้ทุกท่านตระหนักดีว่าประชาชนเดือดร้อน เหตุผลที่เรามาทำงานตรงนี้ เพื่อให้ความดูแลพี่น้องประชาชน ไม่ใช่ให้คนผิดลอยอยู่ได้ และยังทำทุกอย่างผิดๆ อยู่ คิดว่าถึงเวลาแล้ว อยากได้เหตุผลว่าทำไมถึงจับไม่ได้ มันต้องจับให้ได้เพื่อพี่น้องประชาชนจะได้อยู่อย่างมีความสุข อย่าให้ถูกซ้ำเติมตรงนี้ โดยเฉพาะการถูกหลอกลวง เงินหมดไปก็เป็นส่วนหนึ่งของอาชญากร ตรงนี้ถือเป็นสารตั้งต้น ที่ต้องขจัดปัญหานี้ออกไปให้หมดจากสังคมไทย ผมยืนยันเรื่องนี้เป็นเรื่องซีเรียส 30 วันต้องชัดเจน” นายกฯ กล่าว
ด้าน พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. กล่าวว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีได้กำชับมาแล้ว ก็จะต้องปฏิบัติให้เต็มที่ โดยมีผลงานเป็นรูปธรรม ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาโดยตลอด ส่วนกรณีที่นายกฯ ได้ระบุว่าต้องดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อยภายใน 30 วันนั้น เนื่องจากนายกฯ ได้เห็นปัญหาความขัดแย้งในช่วงที่ผ่านมาว่าเป็นต้นเหตุ จึงได้มีการกำชับการปฏิบัติให้มีความเข้มมากขึ้น หากไม่สามารถปฏิบัติได้ ก็จะต้องพิจารณาตัวเองว่าเราทำไม่ได้